นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เมืองมินบู ประเทศสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท กำลังการผลิต 220 เมกะวัตต์ (MW) ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนแหล่งเงินทุนในการเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้ามินบูในส่วนของเฟสที่เหลือ 2-3-4 กำลังการผลิต 170 เมกะวัตต์ โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเฟสที่เหลือช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ ขณะที่ในเฟสแรกกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ บริษัทเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น 20% ตั้งแต่เดือน ก.ย.นี้ เป็นไปต้น หลังจากเดินหน้าจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) อย่างเป็นทางการแล้วในปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา
"แม้ว่าตามแผนเดิมโครงการโรงไฟฟ้ามินบูจะก่อสร้างแล้วเสร็จครบ 220 เมกะวัตต์ภายในปี 2565 เพราะแต่ละเฟสต้องใช้เวลากว่า 1 ปี แต่ด้วยความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จครบทุกเฟสในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง ซึ่งนับว่าเร็วกว่าแผนเดิม โดยเรื่องแหล่งเงินทุนไม่ได้มีปัญหา มีพันธมิตรหลายรายเข้ามาเจรจาสนับสนุน คาดว่าจะได้ข้อสรุปได้เร็ว ๆ นี้"นายอารักษ์ กล่าว
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เมืองมินบู ดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุน พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) หรือ GEPT มีผู้ลงทุนหลักคือ ECF ถือหุ้น 20% ,บมจ.เมตะ คอร์ปอเรชั่น (META) ถือหุ้น 12% ,บมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) 40% ,และ Noble Planet หรือ NP สัญชาติสิงคโปร์ถือหุ้น 28% โดยทาง ECF ถือหุ้นในสัดส่วน 20% รับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนถือหุ้นจำนวน 80-100 ล้านบาทต่อปี ภายใต้สมมติฐานโครงการสามารถ COD ได้ครบทั้ง 220 เมกะวัตต์ ขณะที่ในเฟสแรกกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ที่ได้เริ่ม COD ไปแล้ว ECF จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเฉลี่ย 5-7 ล้านบาทต่อไตรมาส
สำหรับแผนขยายกิจการด้านพลังงานทดแทน ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโครงการพลังงานทดแทนหลายแห่ง โดยโครงการส่วนใหญ่กว่า 80% อยู่ในต่างประเทศ และที่เหลือเป็นโครงการในประเทศ โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าในช่วงปลายปี 2563 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่เป็นโครงการพลังงานทดแทนเป็นสัดส่วนที่บริษัทถือ 100% เพิ่มขึ้นไปแตะ 100-150 เมกะวัตต์ ถือว่าเร็วกว่าแผนเดิมที่คาดว่าจะมีกำลังการผลิตครบ 150 เมกะวัตต์ภายในปี 2565
ทั้งนี้ โครงการพลังงานทดแทนของ ECF ที่ลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ บริษัทลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนผ่านการถือหุ้นบริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด ในฐานะบริษัทย่อย เข้าไปถือหุ้น 33.37% ในบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (SAFE) และ SAFE ได้เข้าถือหุ้น 99.99% ในบริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอร์จี จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลกำลังการ 7.5 เมกะวัตต์ จังหวัดนราธิวาส นอกจากนั้น SAFE ยังเข้าลงทุนในบริษัท บิน่า พูรี่ พาวเวอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด สัดส่วน 49% เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลแบบแก๊สซิฟิเคชั่น จังหวัดแพร่ จำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 2.5 เมกะวัตต์
นายอารักษ์ กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ปี 2562 เชื่อว่าจะเติบโตได้ตามเป้า 10-12% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,504 ล้านบาท แม้ว่าธุรกิจเฟอร์นิเจอร์อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอไปบ้าง แต่บริษัทมีนโยบายบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนการ มุ่งเน้นเรื่องศักยภาพเพิ่มกำไรที่ดี สะท้อนได้จากผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/62 และครึ่งปีแรก ยังเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน