บมจ.ไพร์ม โรด เพาเวอร์ (PRIME) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (19 ก.ย.) มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติให้บริษัท ไพร์ม โรด อัลเทอร์เนทีฟ จำกัด (PRA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาด 60 เมกกะวัตต์ (MW) จังหวังกาปงชนัง ประเทศกัมพูชา และเข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว, สัญญาเช่าพื้นที่โครงการ และสัญญาพัฒนาโครงการ เรียกโดยรวมว่า สัญญาโครงการฯ โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะรับสิทธิในการพัฒนาโครงการ ก่อสร้าง และดำเนินงาน ตามขั้นตอนของการพัฒนาโครงการตามเงื่อนไขของการไฟฟ้าแห่งประเทศกัมพูชา (เจ้าของโครงการฯ)
การลงทุนดังกล่าว มีมูลค่าโครงการ 1,525.96 ล้านบาท หรือราว 49.95 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างโครงการฯจำ นวน 1,429,74 ล้านบาท หรือ 46.80 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้รวมค่าเช่าที่ดินไว้แล้ว , ต้นทุนทางการเงินระหว่างช่วงก่อสร้าง จำนวน 10.58 ล้านบาท หรือ 0.35 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการจำนวน 85.64 ล้านบาท หรือ 2.80 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ PRA ได้ร่วมการประกวดราคาสิทธิในการพัฒนา ก่อสร้างและดำเนินงานในโครงการฯ และได้รับแจ้งอย่างไม่เป็นทางการจากเจ้าของโครงการฯ ว่าเป็นผู้ประกวดราคาที่เสนอราคาต่ำที่สุด โดยจะได้รับสิทธิในการพัฒนาโครงการหลังจากการประกาศผลอย่างเป็นทางการและทำสัญญากับเจ้าของโครงการฯ โดย PRA คาดว่าจะเข้ารับหนังสือแจ้งให้เป็นผู้ชนะการประกวดราคาจากเจ้าของโครงการฯ และทำสัญญาโครงการกับเจ้าของโครงการฯ พร้อมกับกระทรวงเหมืองแร่และพลังงาน (Ministry of Mines and Energy) ที่เป็นหน่วยงานตัวแทนของรัฐบาลประเทศกัมพูชาภายในไตรมาสที่ 4/62
ขณะที่ PRA จะจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศกัมพูชา โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมไม่น้อยกว่า 99.8% เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดหาใบอนุญาตตามเงื่อนการพัฒนาโครงการ เปิดการประกวดราคาสำหรับสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างโครงการฯ และสามารถลงนามในสัญญากู้ยืมเงินเพื่อก่อสร้างโครงการในรูปแบบ Project Finance ได้ภายในไตรมาส 2/63 จากนั้นจะเริ่มก่อสร้างโครงการฯ และทดสอบระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าเพื่อให้ขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในไตรมาส 4/64 ให้กับการไฟฟ้าแห่งประเทศกัมพูชา ตลอดระยะเวลา 20 ปี
สำหรับเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากส่วนทุน 30% จะมาจากเงินหมุนเวียนที่มีอยู่ในบริษัท ส่วนอีก 70% จะมาจากเงินกู้โครงการในรูปแบบ Project Finance ซึ่งบริษัทจะเข้าทำสัญญาเงินกู้โครงการกับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง โดยมีวงเงินสินเชื่อสำหรับก่อสร้างโครงการเท่ากับ 1,068.17 ล้านบาท หรือ 34.96 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจากผลการศึกษาความเป็นไปได้ คาดว่าโครงการจะมีอัตราผลตอบแทนการลงทุน (Project IRR) ประมาณ 8.3% ตลอดระยะเวลา 20 ปีของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว
ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่าการลงทุนครั้งนี้ จะสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่กลุ่มบริษัทได้อย่างครบวงจร ทำให้บริษัทมีศักยภาพในการแข่งขันและมีโอกาสจะขยายฐานการค้าไปที่อื่นได้อีกในอนาคต ตลอดจนเพิ่มรายได้และผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องให้แก่กลุ่มบริษัท จึงเป็นการสร้างความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจระยะยาว และเสริมความแข็งแกร่งในด้านการเงินของกิจการ ตลอดจนเปิดโอกาสในการลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศกัมพูชาที่มีความต้องการการลงทุนเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศ อีกทั้งยังลดปริมาณการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัท ยังอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากเดิมมูลค่าหุ้นละ 1 บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 2 บาท โดยทำให้ทุนจดทะเบียนยังคงเดิมที่ 25,514,280,600 บาท และมีจำนวนหุ้นสามัญเปลี่ยนแปลงเป็น 12,757,140,300 หุ้น หลังจากนั้นให้ลดทุนจดทะเบียน ด้วยการลดพาร์เหลือหุ้นละ 0.50 บาท เพื่อชดเชยขาดทุนสะสมจำนวน 2,165,616,000 และ ส่วนต่ำมูลค่าหุ้นจำนวน 10,863,481,000 บาท โดยภายหลังการลดทุน บริษัทจะคงเหลือผลขาดทุนสะสมจำนวน 265,641,160 บาท
หลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บริษัทจะมีทุนจดทะเบียน 6,378,570,150 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 4,254,485,439 บาท โดยบริษัทกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว