บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 20 ก.ย. อนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 พิจารณาอนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท เคพีเอ็น อะคาเดมี จำกัด (KPN Academy) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 57.52% คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 460.18 ล้านบาท โดยเป็นซื้อจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ประกอบด้วย นายณพ ณรงค์เดช , โกลเด้น ไทเกอร์ แอสโซซิเอทส์ แอลทีดี , นายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์ และนางแสงเดือน อิ่วบำรุง ซึ่งบริษัทจะชำระค่าหุ้น KPN Academy ด้วยหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท ส่งผลให้นายณพ ณรงค์เดช เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัททั้งทางตรงและทางอ้อมด้วยสัดส่วน 15.06% ซึ่งคาดว่าจะมีการโอนหุ้น KPN Academy แล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/63
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอซื้อหุ้นทั้งหมดใน KPN Academy จากผู้ถือหุ้นรายอื่นเพิ่มเติมภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ดังนั้น ในกรณีมีการเปลี่ยนแปลงการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับการซื้อขายหุ้นสามัญที่เพิ่มขึ้น บริษัทจะดำเนินการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อปรับแก้รายละเอียดการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน (หากมี) ต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 350.17 ล้านบาท จากเดิมที่ 299.11 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 204.24 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.25 บาท โดยจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 191.74 ล้านหุ้น ให้กับนักลงทุนในวงจำกัด (PP) ในราคาไม่ต่ำกว่าขั้นต่ำที่ 2.40 บาท/หุ้น เพื่อเป็นการชำระค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ KPN Academy จำนวน 4 ราย ที่เสนอขายหุ้นให้กับบริษัท ส่วนที่เหลืออีก 12.5 ล้านหุ้น รองรับการปรับสิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (วอร์แรนต์)
ภายหลังการเพิ่มทุนเพื่อชำระและเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ KPN Academy ครั้งนี้ ส่งผลให้โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทเปลี่ยนแปลง โดยนายณพ ณรงค์เดช ถือหุ้น 13.61% ,โกลเด้น ไทเกอร์ แอสโซซิเอทส์ แอลทีดี ถือหุ้น 1.45% ขณะที่นายณพ เป็นผู้รับประโยชน์ของโกลเด้น ไทเกอร์ แอสโซซิเอทส์ แอลทีดีด้วย ดังนั้น โกลเด้น ไทเกอร์ แอสโซซิเอทส์ แอลทีดี จึงเข้าข่ายเป็นบุคคลตามมาตรา 258 แห่งพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 จึงทำให้นายณพ และบุคคลตามมาตรา 258 ถือหุ้นของบริษัทรวมสัดส่วน 15.06% , นายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์ ถือหุ้น 1.16% และนางแสงเดือน อิ่วบำรุง ถือหุ้น 0.44%
ขณะเดียวกันบริษัทถือหุ้นสามัญของ KPN Academy ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 57.52% ซึ่งทำให้บริษัทสามารถขยายการลงทุนไปยังธุรกิจการศึกษาเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทในอนาคต อีกทั้ง ยังสามารถลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้หลักจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์
เนื่องจาก KPN Academy และบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจที่หลากหลายและมีศักยภาพในการเติบโต กล่าวคือ KPN Academy ประกอบธุรกิจสื่อการสอนออนไลน์ และ ธุรกิจแนะแนวการศึกษาเพื่อเตรียมสอบและเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ภายใต้ชื่อ "U-Sierra" เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพิ่มเติม รวมถึงการขอคำแนะนำเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย ซึ่งในอนาคต KPN Academy ยังสามารถนำแพลทฟอร์มดังกล่าวไปประยุกต์สำหรับกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตของรายได้ นอกจากนี้ KPN Academy ยังมีธุรกิจฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร ซึ่งให้บริการแก่องค์กรต่าง ๆ
นอกจากนี้ KPN Academy และบริษัทย่อยยังมีโอกาสเข้าประมูลงานโครงการภาครัฐเกี่ยวกับการจำหน่ายดนตรีและการพัฒนาทักษะทางดนตรีตามที่ KPN Music เคยชนะการประมูลในช่วงปี 51-60 แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีความไม่แน่นอนทางการเมือง จึงทำให้โครงการดังกล่าวถูกชะลอออกไป ดังนั้น ในกรณีที่โครงการภาครัฐกลับมาเปิดประมูลอีกครั้งในอนาคต จะทำให้บริษัทมีโอกาสรับรู้มูลค่าส่วนเพิ่มจากการเข้ารับงานดังกล่าว อย่างไรก็ตามมูลค่านอกจากนี้บริษัทยังคงมีส่วนเพิ่มยังไม่ได้ถูกรวมอยู่ในการประเมินมูลค่ายุติธรรมของ KPN Academy และบริษัทย่อย
อย่างไรก็ตามบริษัยังคงมีธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถสร้างรายได้และผลกำไรอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อบริษัทได้