นางวารุณี ลภิธนานุวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ชี้แจงผลการดำเนินงานของบริษัท ฯ และบริษัทย่อยสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 กำไรสุทธิ 854.27 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 25.81 ล้านบาทคิดเป็นลดลง 3% เนื่องมาจากบริษัทย่อยแห่งหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาบ้านพักตากอากาศเพื่อเช่าระยะยาวและโรงแรมที่ภูเก็ตเริ่มเปิดดำเนินงานระหว่างปี 2550 รายได้ส่วนใหญ่เริ่มในไตรมาส 4 ขณะที่มีภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง
และบริษัทมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 0.54 บาท/หุ้น ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ที่ 0.60 บาท/หุ้น เนื่องมาจากกำไรสุทธิลดลงและมีจำนวนผู้ถือหุ้นเพิ่มมากขึ้นจากการใช้ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ
ส่วนกำไรสุทธิในงบการเงินเฉพาะของบริษัท มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 861.68 ล้านบาทในปีก่อนหน้า เป็น 871.80 ล้านบาทในปี 2550 โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีนโยบายประเมินราคาสินทรัพย์และโครงการโดยผู้ประเมินราคาอิสระทุกสิ้นปี ซึ่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น 5.83 บาท ซึ่งสูงกว่าปี 2549 ที่อยู่ที่ 5.33 บาท ขณะที่มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น เท่ากับ 2.95 บาท
สำหรับอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 0.91 เท่า เป็น 1.21 เท่า และอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 73% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 51 % เป็นผลมาจากเมื่อเดือนกันยายนบริษัทฯ ได้มีการออกหุ้นกู้มีหลักประกันจำนวน 1,000 ล้านบาท
จากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ อาทิเช่น ราคาน้ำมัน และเสถียรภาพทางการเมือง จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในช่วงครึ่งปีแรก แต่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัท ฯ ประสบความสำเร็จจากการเปิดโครงการอาคารชุดพักอาศัย 4 โครงการและโครงการบ้านจัดสรรและทาวน์เฮ้าส์ ทำให้ยอดขายตามสัญญาเท่ากับ 7,080.ล้านบาท ลดลง 1.6% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดขายที่ทำสัญญาแล้วเท่ากับ 7,193 ล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจากมีการเปิดตัวอาคารชุดโครงการหนึ่งในช่วงปลายปีแต่เซ็นสัญญา ฯในช่วงต้นปี 2551 รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ปีนี้เท่ากับ 4,902.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 384.27 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 9% เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด 2 โครงการ
อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมเท่ากับ 11% สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 9% อันเนื่องมาจากบริษัทย่อยแห่งหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาบ้านพักตากอากาศเพื่อเช่าระยะยาวและโรงแรมที่ภูเก็ต เริ่มเปิดดำเนินงานระหว่างปี 2550 นี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้นกำไรก่อนภาษีเท่ากับ 1,255.12 ล้านบาท คิดเป็น 25 % ของรายได้รวม
ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน 1,390.27 ล้านบาท คิดเป็น 30 % ลดลง 5% เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มสูงขึ้นอัตราภาษีเงินได้คิดเป็น 31% ของกำไรก่อนภาษี(ทางบัญชี) ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 34% เนื่องมาจากในงวดเดียวกันของปีก่อนบริษัทมีการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทและบริษัทย่อยบันทึกภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ซึ่งคำนวณจากรายได้ตามจำนวนเงินค่างวดที่ถึงกำหนดชำระตามสัญญา ในขณะที่บริษัทฯและบริษัทย่อยรับรู้รายได้ทางบัญชีตามวิธีอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จเมื่อเข้าเงื่อนไขการรับรู้รายได้สำหรับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 26 และไม่ได้บันทึกภาษีเงินได้รอตัดบัญชี ดังนั้นจำนวนภาษีเงินได้นิติบุคคลที่แสดงในงบกำไรขาดทุนจึงไม่สอดคล้องกับกำไรทางบัญชี
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--