บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) แจ้งว่าเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา Sinenergy Ninh Thuan Power Limited Liability Company ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ให้กับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) จำนวน 1 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ (MW)
ส่งผลให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อยของ SUPER ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ให้กับการไฟฟ้าเวียดนาม เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 236.72 เมกะวัตต์ และเมื่อรวมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อยของ SUPER ในประเทศไทยที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 768.60 เมกะวัตต์ จะทำให้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,005.32 เมกะวัตต์
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ ของ SUPER เปิดเผยว่า ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิตรวม 422 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีความพร้อมเริ่มทยอยก่อสร้างแล้ว แบ่งเป็น โครงการพลังงานกังหันลมทางทะเล ขนาดกำลังการผลิต 172 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมบนพื้นดิน กำลังการผลิตประมาณ 250 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่า จะดำเนินการ COD ได้บางส่วนในช่วงปลายปี 63
ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศก็มีแผนการขยายต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้มากขึ้น ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน จังหวัดหนองคาย กำลังการผลิตติดตั้ง 8 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน จังหวัดพิจิตร กำลังการผลิตติดตั้ง 8 เมกะวัตต์ พลังงานความร้อนจากขยะชุมชนที่ จังหวัดนนทบุรี กำลังการผลิตติดตั้ง 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน จากขยะชุมชนที่จังหวัด เพชรบุรี กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มทยอยพัฒนาโครงการตามแผนงานของบริษัท
รวมทั้งบริษัทได้ทำการขายไฟฟ้าโดยตรงให้กับลูกค้าในลักษณะ Private PPA โดยล่าสุดได้เซ็นสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ด้วยระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์แบบติดตั้งบนพื้นดิน กำลังการผลิตติดตั้ง 4.04 เมกะวัตต์ เพิ่มเติมจากเดิมที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัทเอกชนอีกแห่งหนึ่ง และอยู่ระหว่างการเจรจาผู้ประกอบการอีกหลายราย
อย่างไรก็ตามในปี 63 บริษัทยังคงมุ่งเน้นการลงทุนด้านพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายของการมีแหล่งรายได้ในระยะยาว รวมทั้งการมองหาโอกาสการขยายการลงทุนในประเทศอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย ,เมียนมา ,ไต้หวัน ฯลฯ เพื่อไปมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ คือการเป็นผู้นำธุรกิจโรงไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชีย ภายใต้กำลังการผลิตไฟฟ้าที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ รวมทั้งสิ้น 1,200-1,300 เมกะวัตต์ และ 2,000 เมกะวัตต์ในอีก 3- 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นด้วยเช่นกัน
"ในปีหน้า ผมจะต้องเดินหน้าเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ และจะปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ในโครงการโรงไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ทั้งจากในและต่างประเทศ และคาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 62 ไม่ว่าจะเป็นในส่วนอัตรากำไรสุทธิ หรือรายได้รวม โดยตั้งเป้าปี 63 รายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-25% จากปี 62 และมียอด PPA อยู่ในระดับ 1,200-1,300 เมกะวัตต์"นายจอมทรัพย์ กล่าว