ธนาคารทหารไทย (TMB) ระบุว่าตามที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ประกาศยุติการจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลตในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2563 นั้น ขณะที่ธนาคารธนชาต (TBANK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคาร เป็นผู้ให้บริการ Captive Finance หรือการให้สินเชื่อแก่บริษัทในเครือและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (ดีลเลอร์) ของบริษัท เชฟโรเลต (ประเทศไทย) นั้น ธนาคารและธนาคารธนชาต ประเมินว่าผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ในระดับต่ำและธนาคารสามารถบริหารจัดการได้
ทั้งนี้ เนื่องจากตามข้อมูล ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 พบว่า ธนาคารธนชาต มีการให้สินเชื่อแก่บริษัทในเครือและดีลเลอร์เชฟโรเลตในสัดส่วนที่ต่ำ ดังนี้
1. สินเชื่อ (Term Loan) ที่ให้กับดีลเลอร์เชฟโรเลต มียอดคงค้างเพียง 23 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.002% ของสินเชื่อรวมทั้งหมดของธนาคารและบริษัทย่อย (งบการเงินรวม) ทั้งยังเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกันครอบคลุมมูลค่าหนี้
2. สินเชื่อ Floor Plan หรือ Inventory Financing ซึ่งเป็นวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อการซื้อรถยนต์สำหรับจัดแสดงและจำหน่าย มียอดคงค้างประมาณ 469 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนเพียง 0.03% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด (งบการเงินรวม) ทั้งนี้ ยอดคงค้างของสินเชื่อ Floor Plan ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ได้จัดโปรโมชั่นก่อนยุติการจัดจำหน่ายรถยนต์ ส่งผลให้ดีลเลอร์สามารถจำหน่ายรถที่นำมาจัดแสดงออกไปได้อย่างรวดเร็ว ธนาคารธนชาตจึงสามารถลดยอดคงค้างของสินเชื่อในส่วนนี้ได้ และเชื่อว่าสต็อกรถยนต์ของดีลเลอร์จะหมดไปในที่สุด
นอกจากนี้ ธนาคารธนชาตยังได้ดำเนินมาตรการรองรับอย่างทันท่วงที โดยได้พิจารณาปรับลดวงเงินสินเชื่อ Floor Plan สำหรับดีลเลอร์เชฟโรเลตแต่ละรายตามความเหมาะสม และดำเนินการดูแลคุณภาพทั้งลูกค้าดีลเลอร์และลูกค้ารายย่อยอย่างใกล้ชิด และจากการสนับสนุนของเชฟโรเลตที่ยังยืนยันที่จะร่วมมือและให้การสนับสนุนดีลเลอร์หรือศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจากเชฟโรเลตทั่วประเทศไทยเพื่อให้บริการหลังการขายและดูแลลูกค้าต่อไป
ทั้งนี้ ธนาคารให้ความสำคัญและดำเนินการดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และมีฐานเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นปี 2562 ที่ 2.35% ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.9% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 14.6% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 11.0% และ 8.5% ตามลำดับ