"ทุกวันนี้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ มีข้อจำกัดเรื่องฐานลูกค้าถูกจำกัดแค่ยี่ห้อฮอนด้าเท่านั้น ซึ่งมองเป็นจุดอ่อนทางธุรกิจ แต่เมื่อเราเริ่มธุรกิจใหม่ FAST FIT สิ่งที่จะเกิดขึ้นอันดับแรกคือจะช่วยลบจุดอ่อนของเราทันที ตามมาด้วยเพิ่มขนาดฐานลูกค้ากว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเมื่อขยายซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ทุกยี่ห้อ มีโอกาสผลักดันการเติบโตผลประกอบการของทั้งกลุ่มฯเติบโตได้รวดเร็ว แม้ว่าจะเริ่มนำร่องในภูเก็ต 5 แห่ง แต่ในระยะยาวมีเป้าขยายไปครอบคลุมทั่วประเทศ และเมื่อธุรกิจใหม่มีจำนวนสาขาที่มากขึ้น ต้นทุนการบริหารจัดการต่ำลง ถือเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญที่จะช่วยผลักดันศักยภาพทำกำไรบริษัทให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน"นายภานุมาศ กล่าว
นายภานุมาศ กล่าวว่า บริษัทวางแผนธุรกิจในระย 3 ปีที่จะผลักดันกำไรให้เพิ่มเป็นเท่าตัวจากปีก่อนที่มีกำไรราว 53 ล้านบาท โดยจะมาจากทั้งธุรกิจหลักคือศูนย์จำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า และธุรกิจใหม่คือศูนย์บริการรถยนต์ทุกยี่ห้อ ซึ่งในอนาคตจะมีสัดส่วนกำไรเป็น 50:50 เพื่อช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจ
สำหรับธุรกิจศูนย์จำหน่ายรถยนต์ฮอนด้านั้น ในปีนี้มีแผนขยายสาขาอีก 2 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 10 แห่ง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมการขยายสาขาใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นแห่งที่ 3 ในทำเลทอง หลังประสบความสำเร็จจากการเปิดสาขาไปแล้ว 2 แห่ง ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมเปิดเพิ่มอีกหนึ่งแห่งในพื้นที่เกรด A เพื่อขยายฐานลูกค้าไปทั่วภูมิภาคของประเทศไทย ภายใต้แผนงานของบริษัทที่ตั้งเป้าเปิดสาขาให้ครบ 15 แห่งทั่วประเทศภายในปี 65
"บริษัทยังคงเดินหน้าขยายสาขาเพิ่ม แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะชะลอตัว เนื่องจากประเมินว่าความต้องการใช้รถยนต์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของฮอนด้า ซึ่ง ACG ในฐานะตัวแทนดีลเลอร์ จะได้รับประโยชน์ทั้งในแง่ของยอดขายรถยนต์ และค่าบริการอย่างต่อเนื่อง" นายภานุมาศ กล่าว
บริษัทยังคงคาดการณ์ว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตมากกว่า 10% จากปี 62 เนื่องจากจะได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น จากการรับรู้รายได้สาขาใหม่ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี ดังนั้นจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระยะสั้นอาจสร้างผลกระทบกับยอดขายรถยนต์ฮอนด้า เนื่องจากบริษัทเป็นหนึ่งในตัวแทนดีลเลอร์รายใหญ่ โดยเฉพาะสาขาตามหัวเมืองใหญ่ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยว แต่บริษัทก็มีรายได้จากการซ่อมบำรุงจากศูนย์บริการอย่างต่อเนื่องเป็นไปตามเวลาที่กำหนดเข้าตรวจและซ่อมบำรุงรถยนต์ ดังนั้น เชื่อว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไม่ยืดเยื้อและคลี่คลายได้โดยเร็ว แนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน
นายภานุมาศ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการขอย้ายหลักทรัพย์เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากปัจจุบันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งขณะนี้บริษัทมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนดแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/63 หรืออย่างช้าที่สุดภายในไตรมาส 3/63 ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของบริษัทและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ช่วยลดข้อจำกัดเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเสถียรภาพให้กับบริษัทในระยะยาว
https://youtu.be/Duu-4e0Z-u8