นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างปีนี้มีโอกาสไม่เห็นการเติบโต หรืออาจถึงขั้น "ติดลบ" เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งปกติเป็นไฮซีซั่นของตลาดวัสดุก่อสร้าง แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) สร้างความเสียหายกับภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศหลายมิติ โดยเฉพาะความต้องการซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ เป็นปัจจัยลบซ้ำเติมความประเด็นความขัดแย้งสงครามทางการค้า,ปัญหาภัยแล้ง และการเบิกงบประมาณภาครัฐในโครงการต่างๆ ที่มีความล่าช้า
บริษัทเตรียมความพร้อมรับมือจากการยกระดับควบคุมการแพร่เชื้อโควิด-19 หลังจากรัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ปิดห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกโมเดอร์นเทรดที่ขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง โดยบริษัทปรับกลยุทธ์หันมามุ่งเน้นติดต่อกับลูกค้าผ่าน Telesale และช่องทางออนไลน์ พร้อมกับให้บริการขนส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แม้บางพื้นที่จะมีเจ้าหน้าที่ตั้งจุดคัดกรองตรวจเชื้อโควิด-19 แต่บริษัทมีแนวทางป้องกันให้กับพนักงานเป็นตามมาตรฐานด้านอนามัยเป็นอย่างดี
นายสาธิต กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายปีนี้ใหม่จากเดิมเมื่อต้นปีเคยตั้งเป้ารายได้เติบโตประมาณ 3% เบื้องต้นประเมิน 2 กรณี คือ หากวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลงได้ภายในครึ่งปีแรกภาพรวมของรายได้ปีนี้อาจใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 4,825 ล้านบาท แต่หากอีกกรณีหนึ่ง คือ วิกฤติโควิด-19 ยืดเยื้อไปมากกว่านั้น ภาพรวมรายได้ปีนี้อาจต้องติดลบ แต่ในมุมมองของทีมผู้บริหารเชื่อมั่นว่าจะติดลบเป็นแค่ตัวเลขหลักเดียวเท่านั้น
แต่บริษัทจะพยายามรักษาศักยภาพทำกำไรให้ใกล้เคียงเป้าหมายเดิม คือ อัตรากำไรขั้นต้นจะต้องเฉลี่ยอยู่ในระดับ 25-27% และอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ในกรอบ 8-10% เนื่องจากมีแผนควบคุมต้นทุนการผลิต การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ การขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีผ่านกลยุทธ์การบริหาร Product Mix พร้อมกับรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 80 – 90% เท่ากับปีที่ผ่านมาเพื่อให้มีต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ
"ปีนี้กำไรบริษัทคงจะลดลง แต่ไม่ถึงขั้นขาดทุน เหตุผลคือดีมานต์ในตลาดหดตัวแรงในครึ่งปีแรก แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะรับมือกับเหตุการณ์นี้ได้เพราะบริษัทผ่านมาแล้วหลายวิกฤต ที่สำคัญคือบริษัทมีสถานะการเงินแข็งแกร่ง ดูแลผลประโยชน์ให้กับผู้ที่มีส่วนได้เสียและผู้ถือหุ้นได้อย่างแน่นอน"นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต กล่าวว่า แม้ว่าบริษัทเปลี่ยนระยะเวลาโครงการซื้อหุ้นคืนจำนวน 94 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5.50 บาท ผ่านรูปแบบการเสนอซื้อเป็นการทั่วไป (General Offer หรือ GO) จากเดิม 20 เม.ย.-8 พ.ค 63 มาเป็นวันที่ 7-26 พ.ค.63 เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท แต่บริษัทยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนตามเดิมเพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากเล็งเห็นว่าราคาหุ้นบริษัทบนกระดานซื้อขายปรับตัวลดลงมากต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่เหมาะสม โดยเฉพาะฐานะการเงินบริษัทวันนี้มีความแข็งแกร่งมีกระแสเงินสดหมุนเวียน 700-800 ล้านบาท มีระดับหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.50 เท่า ดังนั้นการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นด้านเงินปันผลและอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่ดีขึ้น
https://youtu.be/ay1mZ-db3jM