บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) แจ้งว่าบริษัทได้ลงนามในสัญญาว่าจ้างฉบับใหม่ใน 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 750 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Pipe Spools for CRISP ในอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ และโครงการ Modular Packages Skids for Gas Turbine ในโรงไฟฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศบราซิล
ทั้งนี้ งานดังกล่าวป็นงานเกี่ยวกับการจัดหาและแปรรูปงานโครงสร้างเหล็ก งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ งานประกอบและเชื่อมผลิตภัณฑ์ท่อเหล็ก โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 - กรกฎาคม 2564
นายหยัง เจิน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BJCHI เปิดเผยว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลกจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้ดำเนินโครงการใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับงานใหม่ 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ CRSIP Pipe Spool ในอุตสาหกรรมน้ำมัน และปิโตรเคมี ซึ่งเป็นงานในส่วนที่เพิ่มเติมโครงการเดิมที่กำลังอยู่ หลังจากที่ลูกค้าพึงพอใจกับงานที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบัน จึงทำให้บริษัทได้รับงานเพิ่มเติมจากโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับงานในโครงการ Modular Packages Skids for Gas Turbine ในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า จากลูกค้ารายใหม่ที่มองหาบริษัทแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีความสามารถและประสบการณ์ในการทำงานในอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั้งอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เหมืองแร่ ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมานั้น บริษัทได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีคุณสมบัติตามที่ลูกค้ารายนี้มองหา จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจในการดำเนินโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ ลูกค้ารายใหม่ยังต้องการมองหาบริษัทแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กที่สามารถเป็นคู่ค้ากันในระยะยาว ดังนั้น จึงเชื่อว่าบริษัทฯ มีโอกาสสูงที่จะได้รับงานเพิ่มเติมจากลูกค้ารายนี้ในอนาคต
โดยระยะเวลาในการดำเนินโครงการทั้ง 2 โครงการดังกล่าว มีระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ถึง กรกฎาคม 2564 ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2563-2564
ปัจจุบัน บริษัทมีปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้ (backlog) เพิ่มมาอยู่ที่ 4,700 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี โดยคาดว่าผลประกอบการในปี 63 จะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว รวมทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานใหม่ มูลค่า 16,000 ล้านบาท ขณะที่วิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดนั้น ทำให้ผู้พัฒนาโครงการจำนวนมากได้มองหา บริษัทแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กที่อยู่นอกประเทศจีน ที่อาจมีความเสี่ยงการเกิดโรคระบาดอีก สถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสให้แก่บริษัทในการเข้าไปรับงานมากขึ้นในปีหน้า" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว