บมจ.เจ มาร์ท (JMART) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (23 เม.ย.) อนุมัติการเข้าร่วมลงทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (บริษัทย่อย) กับ KB Kookmin Card Co., Ltd (KB) จากเกาหลีใต้ โดยอนุมัติให้บริษัทเข้าลงนามในสัญญาหลักเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรม (Master Transaction Agreement) และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) ซึ่งบริษัทย่อยจะเพิ่มทุนเพื่อให้ KB เข้ามาถือหุ้นรวมเป็น 49.99% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิ.ย.63 โดยการร่วมลงทุนครั้งนี้จะทำให้มีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการดำเนินงานทางการเงินและมีฐานะการเงินแข็งแกร่งเข้ามาเสริมศักยภาพของบริษัท
ทั้งนี้ KB เป็นบริษัทย่อยถือหุ้น 100% โดย KB Financial Group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำในประเทศเกาหลีใต้ โดยธุรกิจหลักของ KB คือ ประกอบธุรกิจให้บริการบัตรเครดิต บริการทางการเงิน สินเชื่อ ลิสซิ่ง และบริการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
สำหรับแผนการเข้าร่วมลงทุนครั้งนี้ บริษัทย่อยจะเพิ่มทุนจดทะเบียนจากจำนวน 556,536,900 บาท เป็น 1,112,851,210 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 53,360,768 หุ้น ซึ่งมีสิทธิออกเสียงจำนวนหุ้นละ 1 เสียง และออกหุ้นบุริมสิทธิจำนวน 2,270,663 หุ้น มีสิทธิออกเสียงจำนวนหุ้นละ 2 เสียง ซึ่งมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อออกและเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นของตน (ทั้งหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ) ที่ราคาหุ้นละ 11.68 บาท โดยให้บริษัทสละสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวตามสัดส่วนการถือหุ้น สำหรับหุ้นสามัญเพิ่มทุนในบริษัทย่อยจำนวน 48,112,168 หุ้น และหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุนในบริษัทย่อย จำนวน 2,047,319 หุ้น รวมเป็นจำนวน 50,159,487 หุ้น เพื่อให้กับ KB สามารถเข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนรวม 55,631,431 หุ้น ซึ่งเท่ากับสัดส่วน 49.99% โดยภายหลังการเพิ่มทุนจะทำให้บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ไม่มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามก่อนการเข้าลงทุนของ KB บริษัทย่อยจะต้องดำเนินการลดทุนจดทะเบียน โดยการลดจำนวนหุ้นเพื่อล้างขาดทุนสะสม และล้างผลกระทบทั้งหมดที่เกิดจากการปรับใช้นโยบายบัญชีตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 63 หลังจากนั้นบริษัทย่อยจะดำเนินการเพิ่มทุน ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนให้ KB เข้ามาลงทุนแล้วนั้น จะทำให้บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ลดลงเหลือ 45.09% จากเดิม 90.16% ขณะที่บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ลดสัดส่วนเหลือ 4.92% จากเดิม 9.84% และ KB จะเข้ามาถือหุ้น 49.99%
หลังจากวันที่ KB ได้เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้วเสร็จ (Closing Date) ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย.63 ภายหลังจากที่คู่สัญญาทุกฝ่ายปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับแล้วเสร็จ KB และบริษัทย่อยจะดำเนินการ การหาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือผู้ให้สินเชื่อรายอื่นเพื่อนำมาทดแทนสัญญากู้ยืมเงินผู้ถือหุ้นในปัจจุบันดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดยอดเงินกู้ ณ สิ้นปี 62 รวม 3,012.5 ล้านบาท โดยเป็นยอดเงินกู้ของบริษัท จำนวน 2,717.5 ล้านบาท และยอดเงินกู้ของ JMT จำนวน 295 ล้านบาท ซึ่งหาก KB และบริษัทย่อยไม่สามารถหาผู้ให้สินเชื่อรายอื่นมาทดแทนได้ภายในระยะเวลาที่ตกลงกัน KB บริษัท และ JMT จะต้องให้สินเชื่อแก่บริษัทย่อย ตามสัดส่วนการถือหุ้นของตนในบริษัทย่อยภายใน 6 เดือนนับแต่ Closing Date ดังกล่าว
ทั้งนี้ การที่บริษัทสละสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัทย่อยดังกล่าว คิดเป็นมูลค่ารวม 586.1 ล้านบาท และเมื่อรวมกับเงินกู้ยืมคืนจากบริษัทย่อย จำนวน 2,717.5 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 3,303.6 ล้านบาท โดย KB จะชำระเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนเต็มมูลค่าหุ้น ณ Closing Date และ KB และบริษัทย่อยจะดำเนินการหาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือผู้ให้สินเชื่อรายอื่นเพื่อนำมาทดแทนสัญญากู้ยืมเงินผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน
สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการร่วมลงทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำความรู้และเทคโนโลยีทางการเงินของ KB เข้ามาเพื่อเสริมสร้างธุรกิจ และกลุ่มบริษัทในระยะยาว จากการมีพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจการเงิน ตลอดจนสามารถลดความเสี่ยงทางด้านการเงินในการดำเนินธุรกิจในอนาคตจากการที่จะได้รับชำระคืนเงินกู้ยืมจากบริษัทย่อย อีกทั้งบริษัทจะได้ทำ Synergy ร่วมกับบริษัทการเงินระดับโลก ในการดำเนินธุรกิจการเงินในประเทศไทย ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการทำธุรกิจ สำหรับเงินที่บริษัทย่อยได้รับจากการเพิ่มทุน ก็จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทย่อยในการดำเนินธุรกิจ