กลยุทธ์สำคัญของบริษัทมหาชนหลายรายที่ใช้ลดความเสี่ยงทางธุรกิจคือแผนการกระจายลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำและได้รับผลตอบแทนที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวทางบริหารงานของ ซีอีโอ บมจ.วิค (WIIK) ที่หันมากระจายความเสี่ยงเข้าสู่ธุรกิจสาธารณูปโภคที่มีความผันผวนต่ำเพื่อเสริมความมั่นคงในระยะยาว หลังจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 61-62) ธุรกิจหลักอย่างงานติดตั้งระบบท่อโดนผลกระทบอย่างมากจากปัจจัยลบหลายด้าน ฉุดผลประกอบการลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่เคยมีกำไรสุทธิกว่า 90 ล้านบาทในปี 60 ลดลงมาเหลือ 12 ล้านบาท และ 21 ล้านบาทในปี 61 และ 62 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 1/63 พบว่ากำไรสุทธิส่งสัญญาณพลิกฟื้นมาเติบโตเป็นกว่า 24 ล้านบาท ขณะที่คำถามช่วงที่เหลือของปีนี้ผลงานจะยังสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ต่อเนื่องหรือไม่...??
อนึ่ง WIIK เป็นหนึ่งผู้ผลิต, จำหน่าย และให้บริการที่ปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนงานติดตั้งระบบท่อ และให้บริการติดตั้งท่อและข้อต่อท่อพลาสติกชนิด HDPE (High Density Polyethylene) ชนิด LDPE (Low Density Polyethylene) ชนิดโพลีโพรพิลีน (Polypropylene) ท่อ Weholite Spiro และ WehoTank โดยเป็นผู้ผลิตที่มีศักยภาพในการผลิตสูงและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
*ย้อนรอย 2 ปี (61-62) ปัญหางานน้อย-เม็ดพลาสติกพุ่ง
นายวิบูลย์ แสงวิทยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วิค (WIIK) เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์"ว่า ย้อนไป 2 ปีที่แล้ว (ปี 61-62) โครงการประมูลใหม่ๆ ทั้งรัฐและเอกชนออกมาน้อยเนื่องจากหลายโครงการต้องปรับกฎระเบียบเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้บางโครงการที่เซ็นสัญญาไปแล้วก็ต้องเลื่อนออกไป ขณะที่โครงการที่เตรียมจะเปิดประมูลใหม่ชะลอไปจากกำหนดเดิม
ประกอบกับ บริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนเม็ดพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผลักดันราคาผลิตภัณฑ์ท่อที่เป็นสินค้าหลักปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้ผู้รับเหมาก่อสร้างส่วนใหญ่ตัดสินใจชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอให้ราคาท่อปรับลดลง
ปัญหาดังกล่าวสะท้อนไปยังผลประกอบการของบริษัทอย่างชัดเจนในปี 61 โดยกำไรสุทธิลดลงไปเหลือเพียงกว่า 12 ล้านบาทจากเดิมในปี 60 เคยมีกำไรสุทธิ 90 ล้านบาท แม้ว่าจะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นบ้างในปี 62 แต่กำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นมาได้แค่เล็กน้อยที่กว่า 21 ล้านบาทเท่านั้น
"ปี 62 แม้ว่าจะเริ่มดีขึ้นจากโครงการที่ออกมาบ้าง แต่ก็ยังต้องมาเจอกับเหตุการณ์เลือกตั้งครั้งใหม่ และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 63 ล่าช้ากว่ากำหนดเดิมไปมาก ส่งผลให้เกิดสูญญากาศรอบใหม่ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มเข้าที่ในปลายไตรมาส 3 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 สอดคล้องกับราคาเม็ดพลาสติกค่อยๆอ่อนตัวลงมาบ้าง
ขณะเดียวกันบริษัทมีศักยภาพรับงานโครงการขนาดใหญ่ ส่งผลให้การรับรู้รายได้พลิกกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญช่วงปลายปี 62 ผลักดันผลประกอบการบริษัทกลับมาเติบโตโดดเด่นอย่างชัดเจนอีกครั้งในไตรมาส 1/63 ที่มีกำไรสุทธิกว่า 24 ล้านบาทมากกว่าที่เคยดำเนินงานมาตลอดทั้งปี 62"
*ปี 63 ลุ้นผลงานทำนิวไฮตาม Backlog แน่นทุบสถิติสูงสุด
นายวิบูลย์ กล่าวว่า แนวโน้มของผลประกอบการของ WIIK ในปีนี้จะกลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการ"เทิร์นอะราวด์"ได้เต็มตัว เพราะแค่เพียงไตรมาสแรกก็ทำกำไรสุทธิได้สูงกว่ากำไรตลอดทั้งปี 62 ขณะที่รายได้รวมมีโอกาสเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์จากที่เคยทุบสถิติไปแล้วเมื่อปี 59 ที่มีรายได้รวม 1,234 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนรับรู้รายได้จากปริมาณงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/63 ที่มีอยู่ 1,034 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่า Backlog สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
"แม้ว่าที่ผ่านมาธุรกิจธุรกิจจำหน่ายและวางระบบท่อจะเติบโตช้า แต่เป็นช่วงที่บริษัทมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆเพื่อยกระดับขีดความสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมและช่วยผลักดันมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ เช่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ข้อต่อให้ทันสมัยมีมาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มเติมช่วยเพิ่มคุณภาพงานวางระบบเชื่อมท่อ ,ระบบซ่อมท่อด้วยเทคโนโลยีทันสมัยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญสัญชาติยุโรป"
สำหรับโอกาสงานใหม่ๆในประเทศคาดว่าจะทยอยออกมาเรื่อยๆ เช่น งานวางระบบท่อโซนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จำเป็นต้องพัฒนาแหล่งน้ำและขยายโครงการสาธารณูปโภคเพิ่มเติม และผลิตภัณฑ์ท่อของบริษัทก็ยังเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมที่ใช้ในโครงการย้ายสายไฟลงในใต้ดินและขยายตลาดส่งออกในตลาดต่างประเทศ
*เสริมพอร์ตบริหารจัดการน้ำอัพ"มาร์จิ้น"-ลุยขยาย CLMV
ขณะเดียวกันตามแผนกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจบริษัทหันมามุ่งเน้นขยายธุรกิจบริหารจัดการน้ำครบวงจร เช่น บริหารจัดการระบบผลิตน้ำประปา,บำบัดน้ำเสีย เป็นต้น เพื่อต้องการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของธุรกิจจำหน่ายและวางระบบท่อเพราะพึ่งพิงกับนโยบายภาครัฐและผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ
"ธุรกิจบริหารจัดการน้ำเป็นส่วนช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจของ WIIK ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังสามารถนำท่อที่เป็นธุรกิจหลักเข้ามา Senergy ได้อีกด้วยเสริมความแข็งแกร่งการรับรู้รายได้เติบโตอย่างมั่นคงระยะยาว เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำเป็นสัญญาระยะยาว 10-20 ปี เมื่อบริษัทเข้าไปลงทุนโครงการเพิ่มเติมก็ยิ่งส่งผลบวกโดยตรงกับการเติบโตของรายได้ทันที"
นายวิบูลย์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทดำเนินการบริการจัดการน้ำรวมทั้งสิ้น 5 โครงการมีกำลังการผลิตน้ำรวมประมาณ 40,000 คิวต่อวันคิดเป็นสัดส่วน 17% เมื่อเทียบกับรายได้รวม ขณะที่ในอนาคตบริษัทมีเป้าหมายลงทุนเพิ่มอย่างน้อย 1 โครงการในแต่ละปี เพื่อช่วยเสริมรายได้เติบโตมั่นคงและยังช่วยรักษาระดับการเติบโตของอัตรากำไรเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากธุรกิจบริหารจัดการน้ำมีความสามารถด้านอัตรากำไรสูงกว่า 30% เมื่อเทียบกับธุรกิจจำหน่ายและวางระบบท่อที่มีอัตรากำไรเฉลี่ยเพียง 15% เท่านั้น
แผนระยะถัดไปบริษัทเล็งหาโอกาสขยายธุรกิจบริหารจัดการน้ำในต่างประเทศ เบื้องต้นคาดเป็นแถบประเทศ CLMV เป็นหลัก โดยเน้นเฉพาะโครงการภาครัฐเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ขนาดโครงการที่มีความเป็นไปได้ต้องมีมูลค่าอย่างน้อย 100-200 ล้านบาท เพื่อเกิดความคุ้มค่าของผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ให้ได้ตามนโยบายของบริษัทที่อย่างน้อย 12% ขึ้นไป ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายว่าภายในปี 66 จะมีโครงการบริหารจัดการน้ำเพิ่มเป็น 6-7 โครงการ ส่งผลให้ปริมาณขายน้ำเพิ่มขึ้นไปเป็นอย่างน้อย 70,000 ลบ.ม./วัน จากปัจจุบัน 40,000 ลบ.ม./วัน ส่งผลให้ความสามารถกำไรดีขึ้นเพราะต้นทุนการบริหารจัดการลดลง
*เป้า 2 ปีนำ"วิค วอเตอร์"เข้าตลาดหุ้น
นายวิบูลย์ กล่าวว่า ธุรกิจการบริหารจัดการน้ำดำเนินการอยู่ภายใต้บริษัทลูกนั้นคือ บริษัท วิค วอเตอร์ จำกัด บริษัทถือหุ้น 100% เบื้องต้นมีเป้าหมายว่าหากแผนขยายโครงการบริหารจัดการน้ำเติบโตได้ตามเป้าหมายก็มีโอกาสตัดสินใจนำบริษัท วิค วอเตอร์ จำกัด เข้าระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าเพื่อเปิดโอกาสสร้างเติบโตในประเทศและต่างประเทศ
https://youtu.be/pCx8p_hXeEQ