บมจ.ปตท. (PTT) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (20 ส.ค.) อนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจไฟฟ้าของปตท. (แผนการปรับโครงสร้างฯ) เพิ่มความคล่องตัวการดำเนินธุรกิจ โดย ปตท.จะเข้าถือหุ้นในบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เพิ่มเป็น 31.72% หลังจะเข้าซื้อหุ้นอีก 8.91% จาก บมจ.ไทยออยล์ (TOP) มูลค่า 16,882 ล้านบาท แต่ทั้งกลุ่ม ปตท.ยังคงมีสัดส่วนการถือหุ้นใน GPSC เท่าเดิมที่ 75.23% จึงได้รับการผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดใน GPSC
PTT ระบุว่า ตามแผนการปรับโครงสร้างฯดังกล่าว ประกอบด้วย
1. ปตท. ซื้อหุ้นสามัญ GPSC จาก TOP ในสัดส่วน 8.91%มูลค่าประมาณ 16,882 ล้านบาท โดยราคาซื้อขายดังกล่าวอาจมีการปรับลดลงได้เป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลจ่ายต่อหุ้น หาก GPSC จ่ายเงินปันผลก่อนการดำนินการโอนหุ้น ซึ่งขณะนี้ทั้ง PTT และ TOP อยู่ระหว่างเจรจาและจัดทำสัญญาซื้อขายหุ้น GPSC โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาดังกล่าวได้ภายในปี 63
2. การโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท ไทยออยล์เพาเวอร์ จำกัด (TP) ให้แก่ TOP โดยปัจจุบัน TP มี PTT ถือหุ้น 26% และ TOP ถือหุ้น 74% ขณะที่มีมูลค่ากิจการทั้งหมดของ TP อยู่ที่ประมาณ 26,773 ล้านบาท
การโอนกิจการทั้งหมดของ TP เป็นการโอนทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ หน้าที่และภาระผูกพันทั้งหมดของ TP ที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่โอนกิจการทั้งหมด รวมถึงสัญญาและใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ และภายหลังการโอนกิจการทั้งหมดของ TP ให้แก่ TOP แล้ว TP จะยุติการประกอบธุรกิจ และจะดำเนินการเลิกบริษัท รวมทั้งเริ่มการชำระบัญชีภายในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนกิจการทั้งหมด และเมื่อชำระบัญชีแล้วเสร็จ TP จะแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของ TP คืนให้แก่ TOP และ PTT ในฐานะผู้ถือหุ้น
สำหรับ TP เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนและไอน้ำร่วม (Cogeneration) มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 118 เมกะวัตต์ (MW) และไอน้ำ 216 ตันต่อชั่วโมง โดยจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 41 เมกะวัตต์ และจำหน่ายไฟฟ้าส่วนที่เหลือและไอน้ำให้แก่กลุ่ม TOP
ทั้งนี้ ปัจจุบัน TOP และ TP อยู่ระหว่างเจรจาและจัดทำสัญญาโอนกิจการทั้งหมดโดย TP คาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาดังกล่าวได้ภายในปี 63
PTT ระบุว่าธุรกรรมการปรับโครงสร้างจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ GPSC และ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของ PTT ใน GPSC เพื่อให้สอดคล้องกับการถือหุ้นของ PTT ในบริษัท Flagship ในธุรกิจอื่น โดยปัจจุบัน PTT ถือหุ้น GPSC ในสัดส่วน 22.81% และ TOP ถือหุ้น GPSC ในสัดส่วน 8.91% ขณะที่ TP ถือหุ้น GPSC ในสัดส่วน 20.78% โดยภายหลังธุรกรรมการปรับโครงสร้าง PTT จะถือหุ้น GPSC ในสัดส่วน 31.72% และ TOP จะถือหุ้น GPSC ในสัดส่วน 20.78%
อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมการเข้าซื้อหุ้นสามัญ GPSC จะทำให้ PTT มีสัดส่วนการถือหุ้นใน GPSC เกินกว่า 25% ซึ่งทำให้ PTT จะต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ GPSC แต่เนื่องจาก PTT และบริษัทในเครือ คือ TOP และบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ยังคงสัดส่วนหุ้นใน GPSC ที่ 75.23% ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุมกิจการของ PTT ใน GPSC ดังนั้น PTT จึงขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด โดยได้รับการผ่อนผันจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 17 ส.ค.63
ด้าน TOP แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวานนี้อนุมัติการปรับสัดส่วนและโครงสร้างการถือหุ้นในกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าของบริษัท (แผนปรับโครงสร้างฯ) เพื่อลดความซับซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้นในกลุ่มธุรกิจไฟฟ้า ทำให้การบริหารจัดการและขับเคลื่อนทิศทางการดำเนินธุรกิจมีความชัดเจน คล่องตัว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากปรับโครงสร้างฯ แล้วเสร็จ บริษัทจะมีกระแสเงินสดส่วนเพิ่มสุทธิ ซึ่งช่วยส่งเสริมสภาพคล่อง และทำให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น เพิ่มเงินทุนเพื่อรองรับโอกาสการลงทุนในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะยังสามารถรักษาสัดส่วนกำไรที่จะได้จากธุรกิจไฟฟ้าในอนาคตได้ตามเป้าหมายเดิม
ก่อนการดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างฯ ในครั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนการลงทุนสุทธิ (Effective Shareholding) ใน GPSC จากการถือหุ้นโดยตรง และผ่านการถือหุ้นใน TP รวมทั้งสิ้นประมาณ 24.3% แต่หลังการดำเนินการแล้วเสร็จจะถือหุ้นใน GPSC ลดลงเหลือราว 20.8% จากการถือโดยตรง โดยขายหุ้นที่ถืออยู่โดยตรง 8.91% ใน GPSC ให้กับ PTT มูลค่า 16,882 ล้านบาท คาดว่าจะลงนามในสัญญาและดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 63 โดย PTT จะชำระราคาซื้อขายหุ้นของ GPSC เป็นเงินสด และ/หรือวิธีการอื่นใดซึ่งจะตกลงกันในภายหลัง
ส่วนการรับโอนกิจการ TP ทั้งหมด คาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาดังกล่าวภายในปี 63 และจะดำเนินการรับโอนกิจการทั้งหมดจาก TP แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1/64
TOP ระบุว่า บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น GPSC ไปชำระค่าตอบแทน ภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมด , เพิ่มเงินสด เงินทุนหมุนเวียน และ สภาพคล่อง ทำให้บริษัทมีฐานะการเงินที่แข่งแกร่งขึ้น และ ใช้เป็นเงินทุนสำหรับรองรับโครงการลงทุนอื่นในอนาคตของบริษัท
ทั้งนี้ คณะกรรมการของ TOP เห็นว่าการปรับโครงสร้างกิจการสำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัท โดยการเข้าทำธุรกรรมการขายหุ้น GPSC จะทำให้บริษัทได้รับกระแสเงินสดภายหลังจากการเข้าทำธุรกรรมการขายหุ้นและธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดเป็นจำนวนประมาณ 5,900 ล้านบาท (ไม่รวมค่าใช้จ่ายและภาระภาษีเงินได้ที่เกิดจากการเข้าทำรายการ) จึงเป็นการส่งเสริมให้สภาพคล่องและฐานะการเงินของบริษัท แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงเพิ่มเงินทุนเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคตของบริษัท