บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 28 ส.ค. อนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2563 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 ต.ค.63 เพื่อพิจารณาอนุมัติการลงทุนก่อสร้างโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม (EPC) ประเทศเวียดนาม ในโครงการ HL3 โครงการ HL4 โครงการ TN และโครงการ MN ขนาดกำลังการผลิตรวม 160 เมกะวัตต์ ของบริษัทย่อยทางอ้อม มูลค่าลงทุนรวม 223.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7,040.92 ล้านบาท
สำหรับทั้ง 4 โครงการ เป็นโครงการที่บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่ได้สิทธิเป็นผู้ดำเนินโครงการมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยโครงการ HL3 และ HL4 ขนาดกำลังการผลิตรวม 60 เมกะวัตต์ (60.80 เมกะวัตต์ติดตั้ง) โดยเป็นขนาดกำลังการผลิตต่อโครงการที่ 30 เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าเงินลงทุนรวม 73.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,324.52 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้ง 2 โครงการ ประมาณ 83.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,627.50 ล้านบาท ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เขต Huong Linh จังหวัด Quang Tri โดยจะเข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) ด้วยระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้า 20 ปี ในอัตรารับซื้อไฟฟ้า (Feed in Tariff หรือ FIT) ที่ 0.085 ดอลลาร์สหรัฐต่อหน่วย
ส่วนโครงการ TN และ MN มีขนาดกำลังการผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ (99.00 เมกะวัตต์ติดตั้ง) โดยเป็นขนาดกำลังการผลิตต่อโครงการที่ 50 เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าเงินลงทุนรวม 123.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.888.74 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้ง 2 โครงการ ประมาณ 139.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,413.42 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่เขต Ban Can จังหวัด Gai Lai โดยจะเข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าเวียดนาม ระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้า 20 ปี ในอัตรารับซื้อไฟฟ้า (FIT) ที่ 0.085 ดอลลาร์สหรัฐต่อหน่วย
ทั้งนี้ การลงทุนทั้ง 4 โครงการ มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือนต.ค.64 มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของผู้ถือหุ้น (IRR) ในะรดับ 20-25% ต่อโครงการ
สำหรับแหล่งเงินลงทุนจะมาจาก เงินลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) คิดเป็น 30-35% ของมูลค่าโครงการ หรือประมาณ 2,112.28 – 2,464.32 ล้านบาท โดยกลุ่มบริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากเงินสดที่ได้จากการขายโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย จำนวนประมาณ 901 ล้านบาท , การออกหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) และแหล่งเงินทุนอื่นในอนาคต ขณะที่เงินลงทุนส่วนของเงินกู้ในสัดส่วนประมาณ 65-70% หรือประมาณ 4,576.60 – 4,928.64 ล้านบาท จะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขอรับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อ จากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ยังอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1.58 พันล้านบาท จากเดิมที่ 1.03 พันล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป ด้วยการออกหุ้นใหม่ 552.94 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) จำนวน 276.47 ล้านหุ้น , ประชาชนทั่วไป (PO) 184.31 ล้านหุ้น และบุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 92.16 ล้านหุ้น เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับรองรับแผนการลงทุนในอนาคตได้อย่างทันกาล และเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ