บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) แจ้งว่าบริษัท Thai Union Investments North America LLC (TUINA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในสหรัฐอเมริกา ได้มาซึ่งหน่วยลงทุนสามัญจำนวน 1,040,000 หน่วย ซึ่งคิดเป็น 13.68% ของหน่วยลงทุนสามัญที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดก่อนการปรับลด ในบริษัท Red Lobster Master Holdings (RLMH) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร Red Lobster จากเดิมที่มีหน่วยลงทุนสามัญทั้งทางตรงและทางอ้อม จำนวน 2,500,000 หน่วย และ 2,400,000 หน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหาร (Executive Committee) ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท ได้อนุมัติให้ TUINA ซื้อหน่วยลงทุนสามัญเพิ่มเติม 1,040,000 หน่วย ใน RLMH จาก GGCOF RL Splitter, L.P. (Splitter) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของ Golden Gate Capital Opportunity Fund, L.P. (ธุรกรรม)
นอกจากการได้มาซึ่งสินทรัพย์เพิ่มเติมแล้ว TUINA ยังได้ทำข้อตกลงและเงื่อนไขอื่น ๆ กับกลุ่มนักลงทุนใหม่ใน RLMH ด้วย ทำให้การสัดส่วนการถือหุ้นจะไม่เกินกว่า 25% ของหน่วยลงทุนที่ปรับลดแล้วทั้งหมด โดย TUINA จะยังคงมีหน่วยลงทุนบุริมสิทธิ์ 2,400,000 หน่วย (เทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 24% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด) ของ RLMH
หลังจากการทำธุรกรรมนี้ TUINA จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ RLMH ด้วยสัดส่วนถือหุ้น 49% และด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ไทยยูเนี่ยนคาดว่าจะร่วมผลักดันและส่งเสริมแผนธุรกิจของ RLMH รวมถึงเพิ่มความร่วมมือกับไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิต และการเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารทะเลในสหรัฐอเมริกาและช่องทางการจัดจำหน่ายซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการเติบโตและการพัฒนาต่อไป
อนึ่ง เรด ล็อบสเตอร์ เป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการร้านอาหารทะเล มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
TU แถลงต่อมาว่า บริษัท โกลเด้น เกท แคปิตอล ตกลงขายหุ้นบริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด ให้กับกลุ่มทุนประกอบไปด้วย TU รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนประกอบด้วยผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจร้านอาหารชั้นนำและอุตสาหกรรมการบริหาร และกลุ่มผู้บริหารเรด ล็อบสเตอร์เดิม ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีในอุตสาหกรรม
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า กลุ่ม TU ได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์ในเรด ล็อบสเตอร์ มาตั้งแต่ปี 59 และการลงทุนในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อการบริหารและกลยุทธ์บริษัทที่จะนำเสนออาหารทะเลคุณภาพและมีความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภค แบรนด์ เรด ล็อบสเตอร์เองมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว และมีฐานลูกค้านับล้านทั่วโลก และเราเชื่อว่าธุรกิจนี้มีศักยภาพในระยะยาว ซึ่ง TU มองว่าจะสามารถนำจุดแข็งนี้มาต่อยอดธุรกิจ นอกจากนี้ผู้ร่วมทุนอย่าง ซีฟู้ด อะไลอันซ์ ยังมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งจะสามารถพัฒนาแบรนด์เรด ล็อบสเตอร์ ให้เติบโตได้ต่อไป
ทั้งนี้ TU เริ่มด้วยเงินลงทุนเชิงกลยุทธ์ 575 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่งตัวแทนบริษัทสองคนเข้าเป็นคณะกรรมการ บริษัท เรด ล็อบสเตอร์ กลุ่มนักลงทุนใหม่ในเรด ล็อบสเตอร์นี้ อยู่ภายใต้บริษัทชื่อ ซีฟู้ด อะไลอันซ์ ประกอบไปด้วย ผู้ถือหุ้นหลัก ได้แก่ นายพอล เคนนี่ และนายฤทธิ์ ธีระโกเมน ผู้บริหารที่นำประสบการณ์กว่า 75 ปีในการบริหารธุรกิจร้านอาหารทั้งด้านกลยุทธ์ การบริหารจัดการ และการสร้างแบรนด์
โดยนายพอล เคนนี่ เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารไมเนอร์ ฟู้ด หนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ที่ดำเนินธุรกิจร้านอาหารกว่า 2,000 แห่ง ใน 27 ประเทศ อาทิ The Pizza Company, The Coffee Club, Riverside, Thai Express, Benihana, Bonchon, Swensen’s, Sizzler, Dairy Queen และ Burger King ในด้านนายฤทธิ์ ธีระโกเมน ปัจจุบันตำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ. เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป (M)
ตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 เรด ล็อบสเตอร์ ได้เพิ่มมาตรการต่างๆ ในด้านการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ ตามแนวทางของศูนย์การป้องกันและควบคุมโรคของรัฐบาล เพื่อที่จะให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับสินค้าที่คงคุณภาพสูงและบริการที่ปลอดภัย
นอกจากนี้ เรด ล็อบสเตอร์ ยังริเริ่มบริการส่งอาหารแบบไร้การสัมผัส และการบริหารสั่งอาหารกลับบ้านแบบไร้การสัมผัส ตลอดจนเมนูใหม่ๆ เช่น เซ็ทสังสรรค์ครอบครัวสำหรับ 4 ท่าน ที่ราคาเริ่มต้นเพียง 7 เหรียญสหรัฐต่อคนเท่านั้น ปัจจุบบัน ร้านอาหาร เรด ล็อบสเตอร์ 99 เปอร์เซ็นต์ ได้เปิดให้บริการสั่งอาหารกลับบ้านและส่งถึงบ้าน และ 88 เปอร์เซ็นต์ ได้เปิดให้นั่งรับประทานในร้าน โดยปรับเมนูเป็นกระดาษใช้ครั้งเดียว และมีบริการที่สามารถให้ลูกค้าอ่านเมนูอาหารจากมือถือ ลูกค้าสามารถชำระค่าอาหารได้โดย Apple Pay หรือบัตรเครดิตผ่านแท็ปเล็ตบนโต๊ะอาหารซึ่งจะมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกครั้ง
นายคิม ล็อพดร็อป ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เรด ล็อบสเตอร์ กล่าวว่า "พวกเรารับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานเป็นอับดับแรก สถานการณ์ในครั้งนี้ทำให้เรากลับมาทบทวนการให้บริการแก่ลูกค้า ทำให้เราประสบความสำเร็จในการบริการอาหารทั้งแบบรับกลับและส่งถึงบ้านให้กับลูกค้า ซึ่งยอดขายในส่วนนี้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 และยังคงดีต่อเนื่องหลังจากที่สาขาต่างๆ ของเราได้เปิดให้บริการนั่งทานภายในร้าน"