SC ลุ้นยอดขายแนวราบปีนี้ทะลุเป้า เตรียมเปิด 4 นิวซีรีย์รวม 5.9 พันลบ.Q4/63

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 30, 2020 17:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ายอดขายโครงการแนวราบในปีนี้โอกาสทะลุเป้าหมาย 1.2 หมื่นล้านบาท หลังจากปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 1.1 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงที่ผ่านมาโครงการแนวราบถือว่าทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง

ประกอบกับ SC เป็นผู้นำโครงการแนวราบที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่น ทำให้โครงการของบริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา และเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ยอดขายรวมของบริษัทในปีนี้เป็นไปตามเป้า 1.7 หมื่นล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทได้ปิดการขายโครงการแนวราบไปแล้ว 8 โครงการ ขณะที่โครงการที่เปิดตัวใหม่สามารถทำยอดขายได้ดี โดยในปี 63 บริษัทเปิดโครงการแนวราบทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท เปิดไปแล้ว 5 โครงการในครึ่งปีแรก มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท และครึ่งปีหลังจะเปิดอีก 7 โครงการ มูลค่ารวม 8 พันล้านบาท โดยไตรมาส 3/63 เปิดไปแล้ว 3 โครงการ มูลค่ารวม 3.4 พันล้านบาท ทำยอดขายได้แล้วกว่า 500 ล้านบาท

ไตรมาส 4/63 การเปิดโครงการใหม่จะเน้นไปที่บ้านหรูนิวซีรีย์ ระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 5.9 พันล้านบาท ได้แก่ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด อีสต์ พระราม 9 มูลค่า 1.4 พันล้านบาท, เดอะ เจนทริ พัฒนาการ มูลค่า 1.4 พันล้านบาท, เฮด ควอเตอร์ส วิภาวดี มูลค่า 100 ล้านบาท ทั้ง 3 โครงการจะเปิดตัวในช่วงเดือน ต.ค.ทั้งหมด ส่วนอีกหนึ่งโครงการ คือ บางกอก บูเลอวาร์ด เวสต์เกต มูลค่า 1.6 พันล้านบาท จะเปิดตัวในช่วงเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งทั้ง 4 โครงการใหม่ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 400-500 ล้านบาท

ส่วนโครงการในต่างจังหวัดที่บริษัทมีโครงการที่พัฒนาอยู่แล้วนั้นค่อนข้างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะใน อ.หัวหินที่ลูกค้าต่างมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อเป็นบ้านตากอากาศ หลีกหนีความวุ่นวายจากชีวิตในกรุงเทพ และสามารถอยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อนได้ จึงเป็นทำเลที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าคนไทย ทำให้โครงการ The CREST Santora ขายหมดไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา และยังมีโครงการ Boulevard Tuscany ชะอำ-หัวหิน ที่มีโครงการเหลือขายอยู่ที่ 50%

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมหรูของบริษัทยังมียอดขายเข้ามาเรื่อยๆ โดยที่โครงการ SALADAENG ONE ปัจจุบันเหลือขาย 9 ยูนิตสุดท้าย ราคาขายเริ่มต้น 15 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยขายกับลูกค้าที่สนใจต่อเนื่อง ส่วนโครงการ BEATNIQ สุขุมวิท 32 ขายได้แล้ว 60% และโครงการ 28 Chidlom ก็ยังขายได้ต่อเนื่องเช่นกัน

นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า ขณะนี้แนวโน้มลูกค้ามีการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น จากการเตรียมข้อมูลในการนำเสนอโครงการที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจง่าย และลูกค้าเห็นถึงองค์ประกอบและฟังก์ชั่นของบ้านอย่างชัดเจน ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่เร็วขึ้น จากเดิมที่ลูกค้าเข้ามาชมโครงการ 4-5 ครั้งแล้วถึงปิดการขายได้ แต่ปัจจุบันเข้าชมโครงการเพียง 2 ครั้งก็สามารถปิดการขายได้แล้ว และในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ยังมีโปรโมชั่นและแคมเปญการตลาดกระตุ้นยอดขาย เพื่อเป็นการมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า และระบายสต็อกของบริษัทด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสต็อกโครงการแนวราบมูลค่ารวม 2.5 หมื่นล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ