นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บมจ.พราว เรียล เอสเตท (PROUD) เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์"ว่า ผลงานไตรมาส 3/63 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นผลประกอบการ หลังจาก พราว กรุ๊ป ก้าวเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.โฟคัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น (FOCUS) มากว่า 1 ปี และเปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น บมจ.พราว เรียล เอสเตท (PROUD) เพื่อรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างเต็มตัว
บอร์ดบริหารเข้ามาปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยยุติธุรกิจเดิม คือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีอัตรากำไรค่อนข้างต่ำ หันมาบริหารโครงการคอนโดมิเนียม Focus Ploenchit มูลค่า 830 ล้านบาท จนถึงปัจจุบันสามารถปิดการขายได้แล้วทั้ง 100% และเริ่มทยอยโอนให้กับลูกค้าตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/63 เป็นต้นมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนผลประกอบการที่คาดว่าจะเห็นข่าวดีออกในช่วงการประกาศงบต้นเดือน พ.ย.นี้
*ปั้นแบรนด์หรูระดับโลก "อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน"
นายพสุ กล่าวว่า โครงการ Intercontinental Residences Hua Hin มูลค่า 3.5 พันล้านบาท เป็น Flagship สำคัญของบริษัท เริ่มเปิดขายอย่างเป็นทางการไปแล้ว ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี และทำยอดขายไปแล้วกว่า 2.3 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 60% ของมูลค่าโครงการ
Intercontinental Residences Hua Hin ถือเป็น Branded Residence ตากอากาศแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งที่ 8 ของโลกที่มีบริการให้กับลูกบ้านที่พักอาศัยตามมาตรฐานของโรงแรม 5 ดาว และมีราคาขายสูงทำสถิติสูงสุดใหม่ของหัวหินที่ 220,000 บาท/ตารางเมตร ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมาก ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมงานก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและทยอยโอนได้ภายในปี 65
"โควิดฉุดเศรษฐกิจซบ ชูกลยุทธ์ดึงเรียลดีมานด์"ลักซ์ชัวรี่"
นายพสุ กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ส่วนหนึ่งเกิดจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ลุกลามเป็นวิกฤติไปทั่วโลก ขณะที่ประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง เป็นข้อจำกัดการฟื้นตัวของกำลังซื้อและการบริโภคในประเทศ
แต่หากสำรวจกำลังซื้อกลุ่มลูกค้าอสังหาฯระดับบนที่เป็น Luxury ขึ้นไป พบว่ายังเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง และมีความต้องการซื้อสินทรัพย์ที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสการจับกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดนี้อยู่แล้ว และมีความเข้าใจความต้องการในการมองหาที่อยู่อาศัยของลูกค้ากลุ่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องของทำเล เป็นปัจจัยแรกที่ลูกค้าระดับบนให้ความสำคัญ ผนวกเข้ากับสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านการบริการที่ได้นำเชนโรงแรม 5 ดาวระดับโลกเข้ามาบริหาร เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายเหมือนเข้ามาเที่ยวพักผ่อนในโรงแรม
นายพสุ กล่าวว่า ภายใต้เป้าหมายการรุกตลาดระดับบน ทำให้การพัฒนาโครงการหลังจากนี้ไม่ได้วางแผนเพิ่มจำนวนโครงการ หรือสร้างโครงการที่มีขนาดใหญ่เกินไป เพราะจะต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ทำให้การวางแผนการดำเนินงานและการลงทุนต่างๆ ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อทำให้ธุรกิจยังสามารถเดินหน้าไปต่อได้
ดังนั้น การพัฒนาโครงการในระยะต่อไปของบริษัทจะต้องเลือกลงทุนในโครงการที่มีความเชี่ยวชาญและเห็นถึงศักยภาพจริงๆ ในการจับกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท และอาจจะขยับไปหาลูกค้าใหม่ในตลาดที่กว้างมากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละทำเลที่นำมาพัฒนาโครงการ
"ตอนนี้โจทย์เปลี่ยนไปเพราะโควิดไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ วันนี้สิ่งที่เราควรทำ คือ การเตรียมตัวให้พร้อม อย่างเราก็ปรับตลอดเวลารายวัน รายสัปดาห์ รายเดือนบ้าง พร้อมกับพยายามมองว่าในวิกฤติยังมีโอกาส ในสิ่งที่เรามุ่งไปเพื่อสร้างโอกาสให้กับธุรกิจ มี 2 เรื่องใหญ่ที่ได้ทำไป คือ 1. ต้อง Selective มาก พัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่ยังมีดีมานด์ แม้ว่าเราจะทำใน Scale ที่เล็กลง แต่กลุ่มลุกค้ามีกำลังซื้อและมีความต้องการ สินค้าเราก็สามารถขายได้
และ 2. การทำ Branded Residence ที่สร้างความแตกต่างและมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง เพราะเรามี Process R&D ของทีมงานเราที่ศึกษาความต้องการของลูกค้า ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการการบริการ โดยเฉพาะกลุ่ม Real Demand ซึ่งเราก็นำจุดนี้เข้ามาเติมเต็ม เพื่อทำให้โครงการเรามีจุดเด่นที่แตกต่างจากเจ้าอื่น"นายพสุ กล่าว
*วางเป้า 5 ปีรายได้ทะยาน 1 หมื่นล้านบาท
การลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยในหัวหินโครงการถัดไป บริษัทมีแผนพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม High Rise อีก 1 แห่ง ภายใต้คอนเส็ปต์ Forever Seaview มูลค่า 2.5 พันล้านบาท อยู่ระหว่างการออกแบบ โดยจะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยเข้ามาเสริมในพอร์ต พร้อมทั้งศึกษาและมองหาโอกาสการลงทุนโครงการใหม่อื่นๆ ทั้งในรูปแบบการ่วมทุนกับพันธมิตจร หรือการเข้าซื้อโครงการจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ มาพัฒนาต่อ เพื่อให้มีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง ผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ใน 5 ปี มีรายได้แตะ 1 หมื่นล้านบาท
โดยรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของบริษัทในปี 62 หลังจากที่เข้าซื้อหุ้นของ FOCUS เสร็จสิ้นในเดือนพ.ค.62 มีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในสิ้นปี 62 อยู่ที่ 60 ล้านบาท และในปี 63 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 200% หรือมาอยู่ที่ 180 ล้านบาท จากการโอนโครงการ Focus เพลินจิต ที่เหลืออยู่เข้ามา ซึ่งปัจจุบันได้ปิดการขายและโอนให้กับลูกค้าไปได้ทั้งหมดแล้ว
และตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นไป การเติบโตของรายได้สู่ 1 หมื่นล้านบาท จะมาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองทั้งหมด โดยมาจากโครงการ Intercontinental Residences Hua Hin มูลค่า 3.5 พันล้านบาท โครงการใหม่ในหัวหินใกล้กับสวนน้ำ วานา นาวา มูลค่า 2.5 พันล้านบาท และโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างศึกษาทั้งจากการเข้าซื้อโครงการจากผู้ประกอบการอื่นและโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท เป็นปัจจัยที่สนับสนุน
"เราก็เปิดโอกาสการขยายธุรกิจทั้ง Organic และ Inorganic growth แต่ตอนนี้เรายึด Organic growth เป็นทางหลักก่อนที่จะผลักดันผลงานของบริษัทให้เป็นไปตามยุทศาสตร์ แต่ถ้ามีโอกาสดีๆเข้ามาและลงทุนไปแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีกับบริษัทก็พร้อมที่จะเข้าลงทุน แต่ก็ไม่เร่งรีบมาก เราต้องระมัดระวังการใช้เงิน ตอนนี้ก็เน้นการรักษาสภาพคล่องมาก่อน แม้ว่าเราจะมีสถาบันการเงินที่ support อยู่ และมีเงินลงทุนเพียงพอ แต่การลงทุนของเราก็ดูจังหวะด้วย แม้ว่าจะมีกี่โอกาสเข้ามาเราก็เลือกได้ว่าเราจะลุยหรือไม่ลุยก็ได้ อยู่ที่ความเหมาะสมที่เราพิจารณา"นายพสุ กล่าว
*ลุ้นปันผล-ล้างขาดทุนสะสมเกลี้ยงปี 65
นายพสุ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมของการพลิกฟื้นผลประกอบการให้กลับมามีกำไร และล้างขาดทุนสะสมที่มีเกือบ 200 ล้านบาท ก่อนจะเริ่มทยอยจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้นั้น คาดว่าแผนงานทั้งหมดจะมีความชัดเจนภายในช่วงปี 65 ซึ่งถือเป็นปีที่บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการ Intercontinental Residences Hua Hin เข้ามาเป็นปีแรก
"การรับรู้รายได้จากโครงการ Intercontinental Residences Hua Hin จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่ช่วยพลิกฟื้นผลงานของบริษัทให้เห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยที่ในระหว่างทางบริษัทจะยังคงเน้นการรักษาความมั่นคงของบริษัท ดูแลงบดุลของบริษัทให้มีเสถียรภาพ หลังจากที่บริษัทได้เข้ามาดำเนินงานทำให้งบดุลของบริษัทเดิมโล่งและสะอาดแล้ว รวมถึงการมองหาโอกาสในการสร้างรายได้เข้ามาให้กับบริษัทต่อเนื่อง พร้อมรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 20-30% เพื่อทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรได้"นายพสุ กล่าว
https://youtu.be/i9ddpfoJ2zA