นายพงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีเฮ้าส์พัฒนา (DHOUSE) กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าในครึ่งปีแรก ภายหลังจากความเชื่อของกลุ่มลูกค้าหลักกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาถูกผลกระทบมาตรการล็อคดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันพบว่าลูกค้ากลับมาให้ความสนใจจองซื้อที่อยู่อาศัยของบริษัทเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันลูกค้าก็ทยอยโอนไปแล้วหลายยูนิต ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าภาพรวมรายได้ตลอดทั้งปี 63 มีโอกาสเติบโตมากกว่าเป้าหมาย 154.79 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเกือบ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 141.82 ล้านบาท
ทั้งนี้ ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 3/63 บริษัทมียอดโอนที่อยู่อาศัยในโครงการจำนวน 22 ยูนิต แบ่งเป็น โครงการเดอะแกรนด์ เรสซิเดนซ์ 8 ยูนิต เดอะแกรนด์ คาเนล 9 ยูนิต และเดอะแกรนด์ บิซ 5 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 70 ล้านบาท และมียอดขายที่รอโอนรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) มูลค่า 58 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการโครงการเดอะแกรนด์ เรสซิเดนซ์ 2 ยูนิต เดอะแกรนด์ คาเนล 2 ยูนิต เดอะแกรนด์ บิซ 5 ยูนิต และพฤกภิรมย์ 9 ยูนิต และในช่วงไตรมาส 4/63 คาดว่าจะเริ่มโอนโครงการพฤกภิรมย์ ได้ในช่วงปลายเดือน พ.ย.หรือ ต้นเดือน ธ.ค. เป็นส่วนช่วยผลักดันยอดขายและยอดโอนเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง
"เศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดมหาสารคามมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการเป็นเมืองแห่งการศึกษาที่มีนักศึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทำให้เกิดการค้าขาย การลงทุนในภาคธุรกิจ ส่งผลให้เกิดความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และเนื่องจากมหาสารคามเป็นจังหวัดที่ไม่ได้พึ่งพิงการท่องเที่ยว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และยังมีกำลังซื้อ"นายพงศ์พจน์ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานปี 64 ภาพรวมรายได้มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องเป็นไปตามแผนรับรู้รายได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันแนวโน้มอัตรากำไรสุทธิมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 22-28% เมื่อเทียบกับปี 63 คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 22% เพราะมีค่าใช้จ่ายจากการนำบริษัทเข้าระดมทุนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ปีหน้าจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งจากความได้เปรียบที่บริษัทมีต้นทุนที่ดินต่ำกว่าคู่แข่ง ทำให้สามารถรักษาหรือเพิ่มอัตรากำไรสุทธิโดยไม่กระทบต่อศักยภาพการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม โดยปี 62 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 28.71% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 40.71 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกของปี 63 บริษัทมีรายได้ 46.78 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 22.69% และมีกำไรสุทธิ 10.62 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแผนธุรกิจและแผนการตลาดเริ่มจากโครงการ U Park เป็นโครงการบ้านจัดสรรคุณภาพในราคาที่เหมาะสม บนพื้นที่ 40 ไร่ ทำเลดีใกล้มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวนรวม 249 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 607.07 ล้านบาท คาดการณ์เปิดขายโครงการไตรมาส 1/64 และโครงการแกรนด์บิซ 2 อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น จำนวน 40 ยูนิต บนพื้นที่ 3 ไร่ เดินทางสะดวกใกล้มหาวิทยาลัย ศูนย์การค้า และสถานที่ราชการต่างๆ มูลค่าโครงการ 127.60 ล้านบาท คาดการณ์เปิดขายโครงการไตรมาส 2/64
นายพงศ์พจน์ กล่าวต่อว่า บริษัทวางแผนยุทธศาสตร์ในช่วง 3-5 ปีมีรายได้แตะ 1 พันล้านบาท พร้อมกับตั้งเป้าก้าวเป็นหนึ่งในผู้นำผู้พัฒนาอสังหาฯโซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะนอกเหนือจากการพัฒนาโครงการในจังหวัดมหาสารคามแล้ว บริษัทมีแผนที่จะขยายไปหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดอื่นๆที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น ขอนแก่น ,อุบลราชธานี ,โคราช และ อุดรธานี เป็นต้น
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) ในอนาคต โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการรูปแบบใหม่ประเภทคอนโด Lowrise และโครงการ Mixed-use ที่อาจรวบรวมโครงการที่อยู่อาศัยทั้งประเภทคอนโดและแนวราบ รวมถึงคอมมูนิตี้มอลล์บนที่ดินศักยภาพแปลงใหญ่ที่รอการพัฒนากว่า 74 ไร่ใกล้มหาวิทยาลัยมหาสารที่มีดีมานด์กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อเป็นจำนวนมาก โดยโครงการดังกล่าวนอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงเพิ่มความมั่นคงให้กับกิจการแล้วยังสามารถสร้างการเติบโตให้ธุรกิจต่อเนื่องในระยะยาวด้วย