จากจุดเริ่มต้นบนเส้นทางตลาดหุ้นของ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นวันแรกในวันที่ 21 พ.ย.57 ด้วยราคา IPO ที่ 28.00 บาท ล่าสุดวันนี้มูลค่าบริษัทผ่านตัวเลขมาร์เก็ตแคปของ CBG เพิ่มขึ้นทะลุ 1 แสนล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อย เป็นบทพิสูจน์ฝีมือของนายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ แม่ทัพใหญ่ ในฐานะประธานกรรมการ CBG สามารถยกระดับแบรนด์ "คาราบาว" ก้าวสู่ผู้เล่นระดับโลก
และโจทย์ครั้งใหม่ หลังจากวางโครงสร้างธุรกิจให้มีความเข้มแข็งแล้ว ก้าวต่อไปคือโรดแมพ 5 ปีข้างหน้าต้องการมองเห็นกำไรของ CBG เติบโตเป็น 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปี 62 ที่มีกำไรสุทธิกว่า 2,500 ล้านบาท พร้อมกับปักธงเพิ่มมูลค่ามาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นทะลุ 2 แสนล้านบาทใน 4 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 67
"ผม commit ครอบครัวผม commit ครอบครัวพี่แอ๊ด (คาราบาว) commit ว่าเราจะบริหารธุรกิจนี้เต็มกำลังความสามารถ และเรายังสนุกที่จะทำเรื่องนี้"นายเสถียร กล่าว
*บทเรียนโควิด-19 ของคาราบาวกรุ๊ป
"อินโฟเควสท์"ได้พูดคุยกับ ประธานกรรรมการ CBG ย้อนรอยภาวะวิกฤติโควิด-19 ที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลก โดยมองว่าวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ครั้งนี้บริษัทเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ในประเทศไว้ค่อนข้างดี เนื่องจากบริษัทมีกิจการในประเทศจีนทำให้มองเห็นสัญญาณและทราบข้อมูลได้รวดเร็ว จึงประกาศคำมั่นต่อพนักงานบริษัททั้งหมด 4-5 พันคนว่าจะดูแลความปลอดภัยอย่างดี และที่ผ่านมาบริษัทจึงไม่ได้ลดไซส์องค์กร เพราะมองว่าขวัญและกำลังใจของพนักงานเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด
แต่ต้องยอมรับว่าในปี 63 เป็นปีที่มีความท้าทายจากทั้งวิกฤติโควิด-19 และกำลังซื้อลดลง บริษัทไม่ได้มองเป็นวิกฤติแต่เป็นโอกาสได้หันกลับมาทบทวนหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะหลักการบริหารช่วงที่ผ่านมาว่าจะปิดช่องว่างหรือเพิ่มเติมในส่วนใดบ้างเพื่อป้องกันความเสี่ยงรอบด้านมากขึ้น ทำให้กลายเป็นช่วงการปรับโครงสร้างภายในต่างๆเพื่อเติมเต็มความแข็งแกร่งภายในขององค์กร
*เชื่อผลงานปีนี้โตทุบสถิติ-ขึ้นชั้น World Class ตีตลาดจีน แม้ตลาดในประเทศฟุบ
นายเสถียร ระบุว่า แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเผชิญกับภาวะไม่ปกติจากโควิด-19 แต่บริษัทยังเชื่อมั่นว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เติบโตต่อเนื่อง ทำให้ผลประกอบการตลอดทั้งปี 63 เติบโตทุบสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง สะท้อนจากผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกของปีที่มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ
"เป้าหมายการเติบโตของ CBG ปีนี้เราเคยตั้งเป้ากันช่วงปลายปีที่ 62 คาดยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศเติบโตมากกว่า 20% และสถานการณ์ธุรกิจในวันนี้ทำให้เรายังมีความเชื่อมั่นว่าจะเติบโตตามเป้าหมายแน่นอน"นายเสถียร กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมของยอดขายในประเทศลดลง แต่จากการทำการตลาดในต่างประเทศอย่างเข้มข้น ทำให้ในช่วง 9 เดือนแรกยอดขายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 55% และที่เหลือ 40% เป็นยอดขายในประเทศ และในอนาคตเชื่อมั่นว่าแนวโน้มยอดขายต่างประเทศจะเติบโตอีกมาก เพราะปัจจุบันสินค้า "คาราบาว" ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียนแล้ว
นายเสถียร กล่าวต่อว่า ตัวแปรที่จะผลักดันการเติบโตอย่างโดดเด่นในอนาคตมุ่งขยายตลาดในประเทศจีน เพราะหากธุรกิจในจีนเติบโตได้ดีแล้ว ในวันนั้นธุรกิจของกลุ่มคาราวบาวจะเข้มแข็งขึ้นอีกมาก สะท้อนด้วยดีมานด์เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศจีนที่มีขนาดตลาดมากกว่า 20,000 ล้านยูนิต/ปี
"การที่เราเดินทางไปทั่วโลก โดยเฉพาะแถบเอเชีย เครื่องดื่มชูกำลังที่เราแข่งขันด้วยมีเพียงยี่ห้อเดียว วันนี้เราก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราเอาชนะได้ทั้งในประเทศไทย ,กัมพูชา ,เมียนมา ดังนั้น การขยายตลาดในจีนที่มีมูลค่าตลาดใหญ่มาก เป็นสิ่งที่เราต้องใช้ความอดทนในการขยายการรับรู้และผู้บริโภคชาวจีนได้สัมผัสกับสินค้าของเราที่การันตีคุณภาพของการเป็นมาตรฐาน World Class หากทำให้ผู้บริโภคหันมาสัมผัสสินค้าเราได้ก็เชื่อว่าจะหันมาสนใจสินค้าของเราแน่นอน"
สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยนั้น นายเสถียร กล่าวว่า แนวโน้มเติบโตต่ำมาหลายปีแล้ว และยิ่งในปี 63 เป็นปีที่มีความท้าทายมาก คาดว่าภาพรวมตลาดในไทยตลอดทั้งปีนี้มีโอกาสติดลบ 7-8% แต่ในเชิงกลยุทธ์บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในประเทศและผลประกอบการต้องเติบโตเป็นบวกสวนทางกับภาพรวมอุตสาหกรรม โดยจะต้องเติบโตได้ดีกว่าตลาดในทุกๆ ปี เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขและสัญญาที่เคยให้กับผู้ที่มีส่วนได้เสียและผู้ถือหุ้นของบริษัท
"องค์กรของเรามีความพยายามพัฒนาเรื่องแนวคิด เรื่องบริหารจัดการเพื่อพัฒนาองค์กรให้ทันสมัย เมื่อผมมีความตั้งใจวางวิสัยทัศน์ยกระดับกลุ่มคาราบาวกรุ๊ป เป็นแบรนด์สินค้ามาตรฐานระดับโลกแล้ว แต่ระหว่างทางต้องมาพิจารณาเรื่องรอบด้านด้วย โดยในไทยต้องพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าแข็งแกร่งรองรับการเติบโตในอนาคต"นายเสถียร กล่าว
*โรดแมพ 5 ปีกำไรต้องโต 3 เท่าตัว มาร์เก็ตแคปทะลุ 2 แสนล้าน
นายเสถียร ระบุว่า วันนี้ได้วางแผนการเติบโตของธุรกิจในเครือทั้งหมด ซึ่งรวมถึง CBG ไปถึงในระยะ 10 ปี (2020-2030) แล้วแต่ยังบอกไม่ได้เพราะมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มาก แต่อยากให้มองเป้าหมายเฟสแรก คือ แผน 5 ปีแรก (2020-2025) ตั้งเป้าว่ากำไรของกลุ่ม CBG จะต้องเติบโต 3 เท่า ใช้สมมติฐานการเติบโตเฉลี่ยอย่างน้อยปีละ 30% เมื่อเทียบกับผลประกอบการปี 62 ที่มีกำไรสุทธิกว่า 2,500 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทก็พิสูจน์แล้วว่ากำไรสุทธิเติบโตมากกว่าทั้งปี 62 มาอยู่ที่กว่า 2,650 ล้านบาท ส่วนภาพรวมของรายได้รวมภายในระยะ 2 ปีข้างหน้าเชื่อว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นไปแตะ 20,000 ล้านบาทได้เช่นเดียวกัน
"วันนี้มูลค่ามาร์เก็ตแคปของ CBG ทะลุ 1 แสนล้านบาทมาแล้ว และด้วยผลประกอบการเติบโตตามแผนที่วางไว้ทำให้เชื่อว่าในปี 2024 มูลค่ามาร์เก็ตแคปของ CBG มีโอกาสเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจเดิมที่เราขยายไปข้างหน้า ขณะที่อีกขาหนึ่งคือการสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจหลักมีความแข็งแรง สะท้อนจากโมเดลการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันและหนุนศักยภาพทำกำไรที่ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายสินค้าในต่างประเทศ และวันนี้อยู่ระหว่างสร้างรากฐานที่เข้มแข็งให้กับช่องทางจำหน่ายสินค้าของบริษัท"
*เปิดเกมรุกร้านค้าปลีกเข็น CJ-ร้านถูกดี เสริมแกร่งกลุ่มคาราบาว
สำหรับโมเดลการขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกทั่วประเทศผ่านโมเดล "ร้านถูกดี มีมาตรฐาน" และ "CJ Express Group" นายเสถียร กล่าวว่า แม้ว่าทั้ง 2 ธุรกิจเป็นการลงทุนในนามส่วนตัว ไม่ได้อยู่ภายใต้ CBG ก็จริง แต่จะเป็นส่วนเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า เพราะวันนี้บริษัทมีธุรกรรมและจัดกิจกรรมร่วมกับผู้ประกอบการร้านค้าทั่วประเทศมากกว่า 180,000 ร้านค้า
โดยโมเดล "ร้านถูกดี มีมาตรฐาน" จะเป็นแนวทางพัฒนาร้านค้าเหล่านี้เข้ามาเป็นเครือข่ายจำหน่ายสินค้าร่วมกับกลุ่มบริษัท ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าได้รับประโยชน์และบริษัทได้รับประโยชน์เป็นลักษณะโมเดลธุรกิจที่มีการพัฒนาสร้างการเติบโตไปด้วยกัน
"วันนี้เราตั้งตัวเป็นผู้ผลิตสินค้าที่จะนำสินค้าที่เป็นประเภทเครื่องดื่มสารพัดเข้าไปอยู่ในตู้แช่ของผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ และอีกด้านหนึ่งเราก็มองเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย สิ่งที่เราเรียนรู้มาคือเราต้องมีช่องทางการจัดจำหน่ายของตัวเอง คือร้านค้าปลีก และร้านโชว์ห่วยที่มีทั่วประเทศกว่า 200,000 ร้านค้า และสิ่งที่ทำให้แผนของเราเป็นจริงนั่นคือฐานข้อมูลของร้านค้าทั้งหมด โดยบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาข้อมูลเพื่อมาตอบโจทย์ให้กับผู้ประกอบการร้านค้าช่วยเพิ่มยอดขายในโมเดลร้านค้าเครือข่ายของคาราบาวกรุ๊ป"นายเสถียร กล่าว
สำหรับแผนระยะ 5 ปีข้างหน้า "ร้านถูกดี มีมาตรฐาน" ตั้งเป้าร่วมเป็นพัธมิตรกับผู้ประกอบการร้านค้าทั่วประเทศไทยจำนวน 50,000 สาขา ขณะที่แผนระยะสั้นในไตรมาส 1/64 ตั้งเป้าขยายเป็น 1,000 สาขา ขณะที่ CJ ตั้งเป้าไตรมาส 1/64 ตั้งเป้าขยายเป็นกว่า 600 สาขาเมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 จะอยู่ที่ 580 สาขา ทั้งนี้ บอร์ดบริหารของ CJ มีเป้าหมายจะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอีก 2 ปีข้างหน้าเช่นกัน
"การเข้าไปแข่งขันกับเจ้าตลาดค้าปลีกเบอร์ใหญ่ในไทยนั้น มองว่าโลกที่เปลี่ยนรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และการที่บริษัทมีข้อมูลพฤติกรรมร้านค้าและผู้บริโภค หรือเรียกๆได้ว่าเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data ทำให้สร้างโอกาสใหม่ๆให้กับธุรกิจของเราได้เช่นกัน"นายเสถียร กล่าว
*ส่งซิกต่อสัญญา "EFL Carabao Cup" แต่อาจยกเลิกสนับสนุน "เชลซี"
สำหรับกรณีสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับฟุตบอลลีกคัพของอังกฤษ หรือ อีเอฟแอล (EFL CUP) ภายใต้ชื่อ "คาราบาว คัพ" หลังจากก่อนหน้านี้เซ็นต่อสัญญาอีก 2 ปีต่อเนื่อง (2021, 2022) คาดว่าน่าจะเห็นการต่อสัญญาต่อไป เพราะเห็นความสำคัญเรื่องทำการตลาดในต่างประเทศเพื่อให้เป็นที่รู้จักผู้บริโภคทั่วโลก
นายเสถียร กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทเป็นผู้สนับสนุนหลักมาแล้ว 5 ปี และหากจะต่อสัญญาอีก 5 ปีส่วนตัวก็เชื่อว่าสื่อทั้งโลกจะพูดถึง EFL CUP ว่าเป็น "คาราวบาว คัพ" สร้างภาพจดจำให้กับผู้คนทั่วโลกจะคล้ายกับในยุคสมัยอดีตที่เคยใช้ "โคคา-โคล่าคัพ" การต่อสัญญารอบใหม่ก็ตั้งใจให้เกิดเป็นภาพจำให้กับผู้คนทั่วโลกเช่นกัน
ขณะที่สัญญาการเป็นผู้สนับสนุนในส่วนสโมสรฟุตบอล "เชลซี" ที่ใกล้หมดสัญญาแล้วนั้น โดยส่วนตัวคิดว่าคงลดระดับความสำคัญลง เพราะจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เป็นข้อจำกัดไม่ให้คนเข้าไปชมฟุตบอลในสนามได้เหมือนสมัยก่อน
"เรายังไม่มั่นใจว่าโควิด-19 จะจบในปีหน้าหรือไม่ เป็นเหตุผลให้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับสโมสรเชลซีเพื่อถอยออกมาก่อน แต่ที่ผ่านมาหลังจากที่บริษัทการลงทุนเป็นผู้สนับสนุนของเชลซีและ EFL CUP พบว่าสโมสรฟุตบอลดังๆ หลายลีกทั่วโลกก็เข้ามาจีบเราเพื่อเป็นผู้สนับสนุน แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเป็นผู้สนับสนุนสโมสรรายอื่นอีกหรือไม่ เพราะต้องขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางธุรกิจด้วย" นายเสถียร กล่าว
*อีก 2 ปีข้างหน้าค่อยมาคิดเรื่อง "แตกพาร์"
นายเสถียร ยอมรับว่า ความเป็นจริงไม่มีความรู้การบริหารเรื่องหุ้น เพราะทำแต่ธุรกิจอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับที่ผ่านมาเคยหารือกับทางประธานเจ้าหน้าที่บริการฝ่ายการเงิน (CFO) เรื่องการแตกพาร์เมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นมามาก แต่ความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าคงต้องใช้เวลาอีกสัก 2 ปีจะค่อยมาพิจารณาเรื่องการแตกพาร์อีกครั้ง
"ถามว่าทำไมต้องใช้เวลาถึง 2 ปีค่อยมาดูเรื่องแตกพาร์ เพราะวันนี้ในใจผมมีเป้าหมายสอดคล้องกับธุรกิจบางอย่าง ซึ่งหาก 2 ปีแล้วเราคงมาคุยเรื่องนี้กันอีกที"
https://youtu.be/2ENQsT2yg0M