ยุควิกฤติโควิด-19 อุตสาหกรรมภาคการผลิตในไทยได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการชะลอตัวของดีมานด์ตามภาวะซบเซาของเศรษฐกิจโลก บมจ.เอทีพี 30 (ATP30) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถโดยสารไม่ประจำทางเพื่อรับ-ส่งพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคการผลิตเป็นหลักในโซนภาคตะวันออกครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด พบว่ากำไรงวดล่าสุดไตรมาส 3/63 พลิกกลับมาเติบโตกว่า 100% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 จึงเป็นสัญญาณที่น่าสนใจว่าจะบ่งชี้การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมภาคการผลิตในไทยแล้วหรือไม่ ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการของ ATP30 ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะกลับมาเข้าสู่โหมด "เทิร์นอะราวด์" แล้วหรือยัง ??
*บริหารเสี่ยง ตุนเงินสด รับมืออุตสาหกรรมการผลิตชะงัก
นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ ATP30 เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า จากการเก็บข้อมูลผลกระทบวิกฤติโควิด-19 ในกลุ่มอุตสาหกรรมภาคการผลิตพบว่าอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้รับผลกระทบมากที่สุดหลังจากต้องชะลอการผลิตหลายเดือน เช่นเดียวกับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายห้ามเดินทางระหว่างประเทศ ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้าก็ต้องหยุดการให้บริการเช่นกันตามมาตรการล็อกดาวน์ประเทศของรัฐบาล ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการบริษัทในครึ่งปีแรกพลิกมาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การยึดมั่นกลยุทธ์การบริหารจัดการด้านความเสี่ยงเป็นอย่างดีมาโดยตลอด สะท้อนจากโครงสร้างกลุ่มลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมถูกกระจายอย่างชัดเจน ไม่ได้พึ่งพิงรายได้หลักจากผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง ทำให้บริษัทยังสามารถรับรู้รายได้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤติโควิด-19 นั่นคือลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคและบริโภค รวมถึงลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
"เราเคยเจอปัญหาแบบนี้ในช่วงเกิดวิกฤติซับไพร์ม เป็นบทเรียนให้เราต้องกระจายพอร์ตลูกค้าให้อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมเพราะเวลานั้นพบว่าอุตสาหกรรมที่ไม่ได้รับผลกระทบก็มี ไม่ใช่ถูกกระทบทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทผ่านพ้นจากวิกฤติครั้งนั้นมาได้"นายปิยะ กล่าว
สำหรับแผนกลยุทธ์เพื่อรับมือกับภาวะวิกฤติโควิด-19 บริษัทมุ่งเน้นรักษากระแสเงินสดเป็นสำคัญ เช่น การเจรจากับเจ้าหนี้ลิสซิ่งเพื่อลดภาระการผ่อนชำระค่างวดของรถ แต่เมื่อผลประกอบการในไตรมาส3/63 กลับมาฟื้นตัวแทบจะเข้าสู่ภาวะปกติ บริษัทก็เข้าไปเจรจาอีกครั้งเพื่อกลับไปผ่อนชำระตามปกติ ซึ่งเป็นนโยบายของบริษัทที่ต้องการรักษาเครดิตไว้เป็นอย่างดี
*เริ่มเห็นสัญญาณบวกส่งท้ายปี 63
นายปิยะ กล่าวว่า ช่วงปลายๆ ไตรมาส 3/63 หรือราวเดือนกันยายนต่อเนื่องไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากการกลับมาใช้บริการของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมภาคการผลิตที่เริ่มกลับมาเร่งการผลิตอีกครั้ง แต่ผลประกอบการไตรมาส 4/63 อาจจะยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะปกติเหมือนกับปลายปี 62 ซึ่งหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ผลักดันผลประกอบการบริษัทคือแผนการลดต้นทุนด้านต่างๆ มาตั้งแต่ช่วงที่เกิดภาวะวิกฤติ
และแม้ว่าจะผ่านวิกฤติไปแล้วบริษัทก็จะยึดนโยบายลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่องมาในไตรมาส 4/63 ตามการใช้บริการของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมภาคการผลิตที่เริ่มกลับมาเร่งการผลิต และบางโรงงานอุตสาหกรรมก็สามารถกลับมาเดินเครื่องผลิตตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับผลประกอบการปี 62 มีรายได้ 458 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 46.82 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปี 63 มีรายได้ 287 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18.95 ล้านบาท
*ปี 64 ลุ้นพลิกกลับมาโตทุบสถิติใหม่อีกครั้ง
ภาพรวมผลประกอบการปี 64 เชื่อมั่นว่ามีโอกาสกลับมาเติบโตทุบสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากที่เคยทำได้ในผลประกอบการปี 62 หลังกลับมาให้บริการลูกค้าได้ตามปกติ ทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่ จากปัจจุบันบริษัทมีจำนวนรถขนส่งกว่า 380 คัน และอยู่ระหว่างการจัดหารถเพิ่มเติมเพื่อให้บริการลูกค้าใหม่อีกกว่า 60 คัน ส่งผลให้พอร์ตรถของ ATP30 ช่วงต้นปี 64 จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 400 คัน
ทั้งนี้ หากประเมินภาพรวมรายได้ปี 64 เบื้องต้นคาดว่าหากมาจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้เพียงอย่างเดียวจะเป็นส่วนผลักดันรายได้เติบโตเกือบ 20% เมื่อเทียบกับฐานรายได้ปี 62 ที่เป็นเหตุการณ์ปกติ แต่หากเทียบกับฐานในปี 63 มีโอกาสเห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด และยิ่งถ้าวัคซีนต้านโควิด-19 มีความชัดเจนก็น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยกลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นตัวแปรหลักผลักดันผลประกอบการของบริษัทเติบโตดีขึ้นอีกด้วย
"ตลอด 5 ปีภายหลังจากบริษัทเข้ามาจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ mai ทิศทางกำไรสุทธิมีอัตราเติบโตทุบสถิติสูงสุดใหม่มาโดยตลอด บริษัทก็ยังอยากที่จะรักษาประสิทธิภาพการเติบโตเช่นนี้ต่อไปในอนาคต แม้ว่าจะเกิดภาวะวิกฤติ แต่กลายเป็นโอกาสบริษัทเช่นกันหลังจากมีลูกค้าหลายๆ รายติดต่อเข้ามาขอใช้บริการเพิ่มเติม เพราะผู้ประกอบการในธุรกิจขนส่งพนักงานหลายรายทนพิษสภาพเศรษฐกิจไม่ไหว ทำให้บริษัทมีโอกาสเข้าไปให้บริการทดแทนกับผู้ให้บริการรายเดิม เป็นที่มาของการเตรียมความพร้อมเรื่องลงทุนขยายจำนวนรถที่จะเข้ามาให้บริการอีกจำนวนมากพอสมควร และด้วยการรักษาเครดิตที่ดีมาโดยตลอด ทำให้ผู้ให้บริการสินเชื่อหลายรายก็พร้อมสนับสนุนแหล่งเงินทุนของบริษัทอย่างต่อเนื่อง"นายปิยะ กล่าว
*โมเดลธุรกิจปั้นผลกำไรโตมากกว่ารายได้
นายปิยะ กล่าวว่า จากโมเดลธุรกิจของบริษัทที่เติบโตบนสินทรัพย์ ทำให้ภาพรวมในปี 64 ศักยภาพทำกำไรจะเติบโตมากกว่าทิศทางรายได้รวม ยกตัวอย่างผลประกอบการปี 62 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 25% และอัตรากำไรสุทธิประมาณกว่า 10% แต่ด้วยโมเดลธุรกิจที่เป็นลักษณะ Economies of scale มีการขยายธุรกิจในแถบโซนภาคตะวันออก ทำให้ภาพรวมต้นทุนที่เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเมื่อรายได้ของบริษัทเติบโตตามฐานลูกค้าใหม่ ส่งผลบวกโดยตรงต่ออัตรากำไรสุทธิจะเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน
และอีกตัวแปรสำคัญคืออายุของรถที่ปกติต้องบันทึกเป็นค่าเสื่อมเป็นเวลา 10 ปีและค่างวดผ่อนชำระ 5 ปี หากบริษัทผ่อนชำระครบ 5 ปีจะสามารถเพิ่มอัตรากำไรดีขึ้น แต่หากครบ 10 ปีที่ไม่ต้องบันทึกค่าเสื่อมแล้วและรถยังสามารถให้บริการสร้างรายได้เหมือนปกติก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพทำกำไรให้กับงบการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ในปี 63 บริษัทมีจำนวนรถที่หมดค่าเสื่อมจำนวน 10 คัน เป็นอานิสงส์เชิงบวกต่ออัตรากำไรในปี 64 ขณะที่ในปีหน้าจะมีรถทยอยหมดค่าเสื่อมอีก 9 คัน ซึ่งเป็นผลบวกต่ออัตรากำไรในปีถัดไป ส่วนจำนวนรถที่หมดค่าผ่อนชำระปี 63 มีจำนวนกว่า 30 คัน ส่งผลให้กระแสเงินสดดีขึ้น และปีถัดไปจะมีอีกจำนวนกว่า 40 คัน ทำให้กระแสเงินสดแข็งแกร่งพร้อมขยายกิจการต่อไป ดังนั้น อัตรากำไรสุทธิปี 64 น่าจะดีกว่าปี 62 ที่อยู่ระดับ 10.20% อย่างแน่นอน
"แม้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทปัจจุบันจะอยู่ใกล้ๆ 2% ทำให้มองเห็นโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอุตสาหกรรมภาคตะวันออกมองเห็นโอกาสเพิ่มขึ้นของลูกค้าใหม่เปลี่ยนมาใช้บริการรถขนส่งพนักงานของบริษัท ด้านการให้บริการลูกค้ากลุ่มท่องเที่ยว อาจต้องใช้ระยะเวลาสักพักที่จะกลับมาฟื้นตัว และส่วนของโมเดลการให้บริการ "Shuttle Bus" ในพื้นที่แหล่งชุมชนต่างๆเชื่อว่าในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เช่น การให้บริการกับลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการขนส่งมวลชนระบบรถไฟฟ้าในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นต้น"นายปิยะ กล่าว
*ยกระดับสู่ "Smart Mobility" สานฝัน 5 ปีรายได้พันล้าน
นายปิยะ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการพัฒนาธุรกิจในปี 64 บริษัทมีแผนนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของ ATP30 จากเดิมบริษัทยึดหลักการเติบโตด้วยการเป็น "Quality Driven" แต่เมื่อคู่แข่งพัฒนาคุณภาพมาใกล้เคียงกับบริษัท ทำให้ปี 64 บริษัทจะขับเคลื่อนธุรกิจด้วยหลัก "Technology Driven" เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่งขันรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
"ปีหน้าธุรกิจของเราจะก้าวขึ้นเป็น Technology Driven เช่น การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาเพิ่มความสะดวกให้กับผู้โดยสารสามารถมอนิเตอร์ทราบรายละเอียดการเดินรถได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาโปรแกรมการบริหารจัดการเดินรถที่ใช้รับส่งพนักงานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ใช้เครือข่ายเดินรถร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นอีกด้วย"
นอกจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่ท้าทายในอีก 5 ปีข้างหน้าได้วางยุทธศาสตร์ คือการเป็น "Smart Mobility" หรือเรียกว่ายกระดับมาตรฐานขึ้นเป็นผู้นำด้านการสัญจรอัจฉริยะ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญส่งเสริมการพัฒนาเมืองด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดในมิติต่างๆ
ทั้งนี้ แนวทางการยกระดับองค์กรเป็น "Smart Mobility" ถือว่าสอดคล้องกับการพัฒนาของผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องการยกระดับให้เป็น "Smart City" หรือเมืองอัจฉริยะ และจะเป็นตัวแปรผลักดันภาพรวมผลประกอบการอีก 5 ปีข้างหน้ามีโอกาสเติบโตอย่างน้อยเฉลี่ย 15-20% ต่อปี หรืออาจมีบางช่วงเวลาที่มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดดได้เช่นกัน ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่าภายในอีก 5 ปีข้างหน้าภาพรวมรายได้จะเติบโตขึ้นไปแตะ 1 พันล้านบาทได้แน่นอน
นายปิยะ กล่าวถึงมุมมองเรื่องราคาหุ้น ATP30 อยากนักลงทุนและนักวิเคราะห์มองถึงความตั้งใจของทีมผู้บริหารที่ยึดหลักอยากมองเห็นอัตรากำไรเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว และจากผลกำไรที่ดีของบริษัทน่าจะสะท้อนไปยังราคาหุ้น ATP30 ในอนาคต
"ผมคิดว่ากำไรในไตรมาส2/63 ที่เป็นจุดต่ำสุด ก็น่าจะเป็นตัวแปรสะท้อนจุดต่ำสุดของราคาหุ้น ATP30 ไปแล้ว และอยากฝากนักลงทุนติดตามผลงานของเราด้านความตั้งใจสร้างผลกำไรที่กำลังจะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต"นายปิยะ กล่าว
เมื่อเวลา 13.57 น.ราคาหุ้น ATP30 ล่าสุดอยู่ที่ 1.00 บาท เพิ่มขึ้น +0.01 บาท (+1.01%)
https://youtu.be/tzwEMItQNZA