บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) อนุมัติการเข้าลงทุน 3 โครงการ ประกอบด้วย
1. โครงการร่วมลงทุนในบริษัทร่วมจัดตั้งใหม่ เพื่อลงทุนในธุรกิจการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold chain logistics) โดยร่วมทุนกับบมจ.บี จีสติกส์ (B) เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ภายในไตรมาส 1/64 ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้น 60% และบี จิสติกส์ ถือหุ้น 40% เพื่อดำเนินธุรกิจขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold chain logistics) สำหรับขนส่งสินค้าภาคอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร, ศูนย์กระจายสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold chain warehouses), การนำสินค้าออกจากคลังสินค้า (Cold storage) ตลอดจนทา Platform (Online/AI)
การจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เป็นกลยุทธ์การส่งเสริมธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านโปรตีนจากพืช (Plant-based) ซึ่งมีความต้องการในด้านการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ เพื่อช่วยควบคุมการจัดเก็บและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ และจะช่วยส่งเสริมให้อาหารและสินค้า Plant-based ถึงมือผู้บริโภคได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยรองรับความต้องการของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิต และจากภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับอาหารอีกด้วย
ขณะที่ บี จีสติกส์ ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่ง (Logistics) อยู่แล้วและมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการระบบการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสในการต่อยอดการเติบโตของธุรกิจประเภท Plant-based และจะช่วยลดต้นทุนการจัดจำหน่ายสินค้าประเภท Plant-based และผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทอีกด้วย
2. โครงการร่วมลงทุนในบริษัทร่วมจัดตั้งใหม่เพื่อลงทุนในธุรกิจขายสินค้า Plant-based โดยตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ ภายในไตรมาส 1/64 มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้น 51% ร่วมกับนายเฮสเตอร์ อาร์เธอร์ ชูว์ ไฮ ชีน ถือหุ้น 49% เพื่อดำเนินธุรกิจขายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม Plant-based ให้ผู้บริโภคผ่านช่องทางการค้าปลีก เช่น ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น อีกทั้งยังขายสินค้าให้กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร กลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และส่งออก ภายใต้แบรนด์ของบริษัทร่วมทุน
การจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เป็นกลยุทธ์การส่งเสริมธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้าน Plant-based เพื่อรองรับการขยายตัวของการบริโภคอาหารและอุตสาหกรรมโปรตีนจากพืชที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเล็งเห็นถึงโอกาสและความสามารถในการเติบโตและต่อยอดจากภาคการผลิตของบริษัท นอกจากนี้ จะทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้นและสามารถมาปรับใช้และนำความรู้มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ Plant-based ในอนาคตต่อไป
3. โครงการลงทุนในกองทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพเกี่ยวกับโปรตีนทางเลือก Unovis NCAP Fund II ซึ่งคาดว่าจะเข้าลงทุนในช่วงไตรมาส 1/64 ถึงปี 66 โดยจะลงทุนในกองทุน Unovis NCAP II ในรูปแบบหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด (Limited Partner) ซึ่งจะลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีพัฒนาอาหารโปรตีนทางเลือก ตั้งแต่การลงทุนเพื่อเริ่มธุรกิจไปจนถึงขั้นขยายกำลังการผลิตและส่งขายสินค้าไปทั่วโลก ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทีมงานและบุคลากรของ Unovis Asset Management (Unovis)
การที่บริษัทเข้าร่วมลงทุนในกองทุนนี้เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถก้าวทันเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมอาหารในระดับสากล เนื่องจากกองทุนของ Unovis เป็นกองทุนชั้นนำของโลกทางด้านโปรตีนทางเลือก และมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการผลิตที่ทันสมัย ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทในเครือของกองทุน (Portfolio companies) อีกทั้ง การลงทุนจะเป็นช่องทางในการขยายธุรกิจและเข้าถึงนวัตกรรมที่ทันสมัย และเปิดโอกาสให้บริษัทเป็นผู้ผลิตให้กับธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในระยะยาวได้
ในทางกลับกันบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในเครือของกองทุน ผ่านความร่วมมือและองค์ความรู้ของตลาดในเอเซียที่บริษัทสั่งสมมาอย่างยาวนาน อีกทั้ง กองทุนยังมีทีมที่ปรึกษาที่มากประสบการณ์ และมีเครือข่ายธุรกิจที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรม ซึ่ง Unovis ได้มีกองทุน Unovis NCAP I ที่เป็นกองทุนแรกที่ได้เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับโปรตีนทางเลือก เช่น Beyond Meat (เนื้อจากโปรตีนพืช) Memphis Meats (เนื้อสังเคราะห์) Miyoko?s Creamery (ชีสจากโปรตีนพืช) เป็นต้น
สำหรับเงินที่จะใช้ลงทุนทั้ง 3 โครงการดังกล่าวจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท