บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวานนี้ (7 ม.ค.) อนุมัติเพิ่มขนาดเงินลงทุนในบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท เอ็นอาร์เอฟ คอนซูเมอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท (NRF Consumer) และ บริษัท Boosted Ecommerce, Inc. (Boosted) ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทจะลงทุนเพิ่มอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 299.3 ล้านบาท จากเดิม 7 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 17 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 508.8 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นโอกาสในการเข้าซื้อสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้แบรนด์ Prime Labs ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ด้าน Functional ชั้นนำที่ขายอยู่บนแพลตฟอร์ม Amazon.com ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีเกินกว่าที่คาดไว้ โดยคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/64
ทั้งนี้ ตามที่บริษัทได้ชี้แจงในหนังสือชี้ชวนเพื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่าง NRF Consumer กับ Boosted เพื่อวัตถุประสงค์ลงทุนในธุรกิจ Branded e-commerce บน Amazon.com ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในกลุ่ม Ethnic Food, Plant-Based Food, Functional Product ที่บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้นต้องมียอดขายที่ดีในระบบ E-Commerce ของ Amazon และสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง และจะมีเกณฑ์ในการเลือกลงทุนที่ชัดเจนเพื่อให้บริษัทได้ประโยชน์สูงสุด
โดยในการคัดเลือกธุรกิจหรือแบรนด์ที่จะเข้าลงทุน บริษัทร่วมทุนจะมีเกณฑ์ในการเลือกลงทุนที่ชัดเจนเพื่อให้บริษัทได้ประโยชน์สูงสุด ดังนี้ 1. ต้องเป็นธุรกิจที่คาดว่ามีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อย่างน้อย 0.3-3.0 ล้านเหรียญสหรัฐ 2. ราคาซื้อธุรกิจเป้าหมายต้องไม่เกิน 3.5 เท่าสำหรับค่าลงทุนส่วนแรก EV/EBITDA 3. ชำระค่าลงทุนเป็นเงินสดส่วนแรกเพียง 50-75% ขณะที่อีก 25-50% จะทยอยจ่าย (Earnout) แล้วแต่การเจรจา
เดิมบริษัทคาดการณ์ว่าจะใช้เงินลงทุนเบื้องต้น (Initial Investment) สำหรับการลงทุนในธุรกิจ third party seller บน Amazon.com ผ่านทางบริษัทย่อยของบริษัท คือ NRF Consumer เพื่อสร้าง E-commerce platform ของบริษัท จำนวน 7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 200 ล้านบาท ภายในปี 2565 แต่เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นโอกาสในการเข้าซื้อสินทรัพย์ภายใต้แบรนด์หนึ่งบน Amazon.com ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตและผลการดำเนินงานที่ดีเกินกว่าที่บริษัทคาดไว้ ซึ่งจะทำให้ขนาดรายการมีมูลค่าสูงขึ้นจากที่เคยแจ้งไว้ จึงมีความจำเป็นต้องขออนุมัติเพิ่มขนาดเงินลงทุน
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมองว่ากลยุทธ์ดังกล่าว ยังสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนในธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์ตามกลุ่มเป้าหมายและเกณฑ์ในการลงทุนที่กำหนดตามเดิม
สำหรับธุรกรรมดังกล่าวจะแล้วเสร็จหลังจากที่มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เงื่อนไขในสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ (Asset Purchase Agreement) และสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับสำเร็จครบถ้วน ซึ่งบริษัทคาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 เว้นแต่จะมีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ บริษัทอยู่ในขั้นตอนการจัดทำ Confirmatory due diligence ซึ่ง หากบริษัทไม่สามารถทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกรรมดังกล่าว มีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนอย่างเพียงพอ จะส่งผลให้สัญญาที่เกี่ยวข้องไม่มีผลบังคับใช้
การดำเนินการดังกล่าว จะแบ่งเป็น 2 ธุรกรรมหลัก ได้แก่ การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่าง NRF Consumer และ Boosted ในสหรัฐอเมริกา ในสัดส่วน 55% และ 45% ตามลำดับ และบริษัทร่วมทุนจะนำเงินที่ได้รับจากการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนไปซื้อทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์เฉพาะ (Know-how) และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้แบรนด์ Prime Labs ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ด้าน Functional ชั้นนำที่ขายอยู่บนแพลตฟอร์ม Amazon.com
ทั้งนี้ บริษัทลงทุนเพิ่ม 10 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่เคยแจ้งไว้ตามหนังสือชี้ชวน 7 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 17 ล้านเหรียญสหรัฐ
การเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวจะทำให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลธุรกิจ e-commerce ที่มีความน่าสนใจในการลงทุนบน Amazon.com และเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมไปสู่ Branded e-commerce บน Amazon.com ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในกลุ่มที่บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้นต้องมียอดขายที่ดีในระบบ E-Commerce ของ Amazon.com และสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง และยังทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะขายสินค้าที่บริษัทเป็นผู้ผลิตอยู่แล้วได้ (Cross-selling opportunities)
นอกจากนี้การลงทุนดังกล่าวจะทำให้บริษัท ได้รับผลตอบแทนจากเงินลงทุนในบริษัทย่อยและทำให้สามารถนำมารวมเพื่อจัดทำงบการเงินรวม (Financial consolidation) ได้ รวมถึงบริษัทยังสามารถนำข้อมูล ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการร่วมทุนมาขยายการลงทุนในแถบเอเชีย หรือยุโรป เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Digital transformation ของบริษัทอย่างเหมาะสมต่อไป
สำหรับเงินลงทุนจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท และเงินกู้ยืมจากนักลงทุน (ซึ่งไม่ใช่บุคคลเกี่ยวโยง) และสถาบันการเงิน โดยคาดว่าจะมีจำนวนเงินกู้ในวงเงินไม่เกิน 508.8 ล้านบาท โดยมีดอกเบี้ยตามอัตราตลาด