EVER ขายหุ้นทั้งหมดในบ.มายรีสอร์ทให้"นิวฮาร์เบอร์วิลล์"/รับรู้กำไร Q3

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 3, 2007 10:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.เอเวอร์แลนด์(EVER) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2550 มีมติอนุมัติให้ขายหุ้นสามัญทั้งหมดในบริษัท มายรีสอร์ท จำกัด( My Resort ) EVERถือหุ้น 99.99% ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการมายโฮมสุวินทวงศ์ ให้กับบริษัท นิวฮาร์เบอร์วิลล์ จำกัด ซึ่งมีนายอนุชาติ โปรา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2550ได้ลงนามเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดจำนวน 44,999,994 หุ้น ในราคาหุ้นละ 5.77 บาทซึ่งสูงกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น 4.89 บาท  รวมเป็นเงิน  259.53 ล้านบาท โดยจะชำระภายใน 45 วัน นับจากวันลงนามในสัญญา
ทั้งนี้ EVER จะนำเงินจากการขายหุ้นไปใช้ชำระคืนหนี้บุคคลภายนอก 107.87 ล้านบาท และใช้ในการพัฒนาโครงการ 151.66 ล้านบาท โดย EVER จะรับรู้กำไรเท่ากับ 38,803,850.35 บาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550
ปัจจุบัน บริษัท มายรีสอร์ท จำกัด มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 450 ล้านบาท ณ วันที่ 31 กรกฏาคม 2550 EVER ชำระแล้ว 220, 728,740 บาท หรือ เท่ากับ 4.91 บาท/หุ้น ตามงบการเงินของ My Resort ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 มีบัญชีลูกหนี้ค่าหุ้นเท่ากับ 229,780,000 บาท และ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2550 มีบัญชีลูกหนี้ค่าหุ้น คงเหลือเท่ากับ 229,271,200 บาท
My Resort ดำเนินโครงการมายโฮมสุวินทวงศ์ เฟส 2-10 โดยคาดว่าจะก่อสร้างบ้านเดี่ยวจำนวน 1,179 หลัง มูลค่าโครงการประมาณ 8,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างและเปิดขายโครงการได้ภายในปี 50 นั้น โดยที่คณะกรรมการบริษัท ได้มอบหมายให้กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้เจรจา และดำเนินการ ทั้งนี้ ราคาที่จำหน่ายหุ้นสามัญ My Resort จะต้องเป็นราคายุติธรรม และไม่ต่ำกว่าราคาต้นทุนที่ EVER ได้มา
*จำเป็นขายจากการขาดสภาพคล่องหนัก
เหตุผลและความจำเป็นในการขายหุ้น My Resort เนื่องจากที่ดินดังกล่าว เป็นที่ดินขนาดใหญ่จำนวน 500 กว่าไร่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการพัฒนาสูง และต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการเป็นระยะเวลานาน ซึ่งระยะเวลานับตั้งแต่ My Resort ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวมา เป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปีแล้ว โดยที่ที่ดินดังกล่าว ยังมิได้มีการพัฒนาเพื่อสร้างรายได้กลับคืนให้กับ EVER แต่อย่างใด
ขณะที่สินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดของ EVER และบริษัทย่อย ได้นำไปใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ยืมกับสถาบันการเงินและบุคคลภายนอก ดังนั้น จึงไม่มีทรัพย์สินใดที่ปลอดภาระผูกพัน ซึ่ง EVER จะสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกัน ในการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินได้เพิ่มเติม
ปัจจุบัน EVER มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและจำเป็นต้องมีกระแสเงินสดเพื่อใช้ในการดำเนินการ โดยที่ผ่านมานับตั้งแต่ EVER ได้ดำเนินการชำระหนี้คืนเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเสร็จสิ้นแล้ว EVER ได้พยายามหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการมาโดยตลอด ไม่ว่าจะโดยวิธีการกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพิ่มเติม หรือการระดมทุนด้วยการเพิ่มทุน
แต่ก็ยังมิสามารถดำเนินการได้ โดยที่ผ่านมานับตั้งแตปลายปี 2548 EVER ได้พยายามหาแหล่งเงินกู้ยืมเพิ่มเติมกับสถาบันการเงินต่างๆ แต่สถาบันการเงินมีความเห็นว่า ณ ขณะนั้น EVER มี D/E ratio ที่อยู่ในระดับสูงเกินไป คือสูงเกินกว่า 2 เท่า ดังนั้น การหาแหล่งเงินกู้ยืมจึงไม่ประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนเมษายน 2550 EVER ได้พิจารณาหาแหล่งเงินทุน โดยวิธีการเพิ่มทุนและนำเสนอเรื่องเพื่ออนุมัติเพิ่มทุนโดยวิธีให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคา 1 บาทต่อหุ้น แต่มติที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นมีมติไม่ถึงของผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงและเข้าร่วมประชุม ตามที่กฎหมายกำหนด จึงส่งให้มิสามารถดำเนินการเพิ่มทุนได้
ดังนั้นการจำหน่ายเงินลงทุนในครั้งนี้ จึงเป็นแนวทางในการหาแหล่งเงินทุนที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้ซึ่งจะทำให้ EVER มีกระแสเงินสดเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถดำเนินการต่อไป และสร้างรายได้และผลตอบแทนให้กลับคืนสู่บริษัทได้เร็วขึ้น
และเป็นการช่วยลดจำนวนทรัพย์สินที่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้ในปัจจุบัน โดยการพัฒนาโครงการใน เฟสที่ 2-10 นี้ อาจต้องใช้ระยะเวลาอีก 3 ปี ภายหลังการพัฒนาโครงการในเฟสที่ 1 เสร็จสิ้น จึงจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ ดังนั้น EVER อาจต้องถือทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ นับตั้งแต่การซื้อคืนจากเจ้าหนี้เป็นเวลารวมทั้งสิ้นถึง 6 ปี
การจำหน่ายเงินลงทุนในครั้งนี้ ยังช่วยลดภาระผูกพันที่ EVER จะต้องชำระค่าหุ้นส่วนที่เหลือ จำนวน 229,271,200 บาทให้แก่ My Resort โดยจะส่งผลให้ D/E Ratio ของ EVER ลดต่ำลงจากปัจจุบัน 2.08 เท่า เหลือเพียง 1.57 เท่า เท่านั้น
*หลังขายยังมีโครงการหลักรอขายในปี 51-52
ภายหลังจากที่ EVER จำหน่ายเงินลงทุนใน My Resort ไปแล้วนั้น EVER จะยังคงมีทรัพย์สินหลักที่ปัจจุบันพัฒนาแล้วและอยู่ระหว่างการขาย ได้แก่โครงการมายโฮมเทพารักษ์ ตั้งอยู่บนที่ดินจำนวน 19-3-17ไร่ บนถนนเทพารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งก่อสร้างเป็นโฮมทาวน์ 3 ชั้น จำนวน194 ยูนิต คาดว่าจะดำเนินการขายเสร็จสิ้น และปิดโครงการได้ภายในปี พ.ศ 2551
โครงการมายวิลล่า บางนา ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานและอาคารชุดพักอาศัย ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสรรพาวุธ เขตบางนา กรุงเทพมหานครได้แก่อาคาร A, B และ C มีจำนวนรวม 262 ยูนิต คาดว่าจะสามารถดำเนินการขายและปิดโครงการได้ภายในปี 2551
นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการในอนาคต 2 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,851 ล้านบาท
รวมทั้งโครงการมายโฮมสุวินทวงศ์ มูลค่าโครงการ 800 ลบ.เป็นโครงการซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินที่สุวินทวงศ์เนื้อที่ประมาณ 120ไร่ และอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งจะก่อสร้างและขายในลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวจำนวนประมาณ 254 ยูนิต ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตจัดสรร และวางแผนด้านการขาย คาดว่าจะ สามารถเปิดโครงการได้ประมาณปลายปี 2550 นี้ โดยมีระยะเวลาในการขายและพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี ตั้งแต่ปลายปี 2550 ถึง 2552
และ โครงการมายโฮมเชียงใหม่ มูลค่าโครงการ1,600 ลบ. เป็นโครงการภายใต้การดำเนินการของ บริษัท ณัฐนันท์พัฒนา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ EVER ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 99.99 ตั้งอยู่บนทีดินที่ อ. แม่ริม จ.เชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ 170 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ และจะก่อสร้างและขายในลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวจำนวนประมาณ 500 ยูนิต
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุญาตจัดสรรโครงการและวางแผนด้านการขาย ในเฟสที่ 1 ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 610 ล้านบาท โดยจะก่อสร้างเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 239 ยูนิต คาดว่าจะสามารถเปิดโครงการได้ ประมาณปลายปี 2550 นี้ โดยมีระยะเวลาในการขายและพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี ตั้งแต่ปลายปี2550 ถึง 2553
โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการดังนี้
โครงการ 2550 2551(E) 2552(E)
โครงการมายโฮมสุวินทวงศ์
- ประมาณการก่อสร้าง(เริ่มไตรมาส 4 ปี 2550) 15% 62% 100%
- ประมาณการขาย - 40% 100%
โครงการมายโฮมเชียงใหม่
- ประมาณการก่อสร้าง(เริ่มไตรมาส 4 ปี 2550) 9% 35% 68%
- ประมาณการขาย - 20% 54%
ทั้งนี้ EVER มีนโยบายที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ หากมิได้มีเหตุการณ์อื่นหรือปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ ก็คาดได้ว่าการดำเนินงานของบริษัทจะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นได้โดยเร็ว ทั้งนี้ ในการดำเนินงานของบริษัท ได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันกับผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการแต่ละโครงการเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อควบคุมและติดตามผลการดำเนินงานและปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยเร็ว และช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้โครงการเกิดความล่าช้าขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะได้รายงานความคืบหน้าในการก่อสร้างและการขายของโครงการมายโฮม สุวินทวงศ์ และโครงการมายโฮมเชียงใหม่ ผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ พร้อมการนำส่งงบการเงินโดยเริ่มตั้งแต่งวดไตรมาสที่ 3 ปี 2550 เป็นต้นไป
สำหรับแผนการดำเนินการในระยะยาวแล้วนั้น หาก EVER สามารถพัฒนาโครงการและมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น EVER มีเป้าหมายที่จะหาซื้อที่ดินในแหล่งทำเลที่มีศักยภาพหลายๆ ทำเล โดยขนาดของที่ดินจะมีขนาดที่เหมาะสม ที่จะสามารถพัฒนาโครงการได้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี เพื่อให้มีขนาดที่สอดคล้องกับเงินทุนของ EVER ณ ขณะนั้นๆ และเป็นการเพิ่มศักยภาพในการขายเพื่อให้มีโครงการต่างๆ กระจายในหลายพื้นที่ สามารถสนองความต้องการของผู้ซื้อได้หลากหลายมากขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ