บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2564 มีมติการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบมจ.สตาร์เฟล็กซ์ ครั้งที่ 1 (SFLEX-W1) และ ครั้งที่ 2 (SFLEX-W2) รวมจำนวนไม่เกิน 184,500,000 หน่วย
สำหรับ SFLEX-W1 จำนวนไม่เกิน 82,000,000 หน่วย ออกให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราการจัดสรร 10 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วย อายุ 18 เดือน อัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยมีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ราคาการใช้สิทธิ 4.50 บาทต่อหุ้น
ส่วน SFLEX-W2 จำนวนไม่เกิน 102,500,000 หน่วย ออกให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่คิดมูลค่า อัตราการจัดสรร 8 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วย อายุ 4 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยมีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ราคาการใช้สิทธิ 10.00 บาทต่อหุ้น
บริษัทจะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 184,500,00 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ SFLEX-W1 และ SFLEX-W2 กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 64 ในวันที่ 3 พ.ย. 64 และวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับ SFLEX-W1 และ SFLEX-W2 ในวันที่ 11 พ.ย. 64
นายสมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFLEX กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่าน่าจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นช่วง high season ของธุรกิจที่จะมีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมากอยู่แล้ว จึงมั่นใจว่ารายได้จากการขาย Flexible Packaging ในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 1,560 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างสถิติสูงสุดใหม่จากปีก่อน และเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 มีรายได้รวมอยู่ที่ 428.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 324.7 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังคงทำสถิติสูงสุดได้ต่อเนื่อง ขณะที่มีกำไรสุทธิ 38.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8 ล้านบาท หรือ 29.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 30.1 ล้านบาท
"ในช่วงไตรมาส 2/64 ภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นไปตามคาดการณ์ไว้ และยังสามารถสร้างรายได้รวมที่สร้างสถิติสูงสุดได้อีกด้วย เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) เพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อที่ต่อเนื่องจากแผนการขยายฐานลูกค้าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องคำนึงถึงการเตรียมวัตถุดิบให้เพียงพอกับคำสั่งซื้อของลูกค้า แต่บริษัทได้มีแนวทางการรับมือด้วยนโยบายการบริหารต้นทุนอย่างรอบคอบ จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ต่อไป"นายสมโภชน์ กล่าว