นับเป็นกลยุทธ์เพิ่มมูลค่ากิจการของกลุ่ม บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป (TRUBB) ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราครบวงจรรายใหญ่สัญชาติไทย ด้วยการนำ บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) เข้าระดมทุนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในธันวาคมนี้ในหมวดแฟชั่น
ล่าสุด กระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ลงทุนจากเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ใน 2 ช่วงเวลา ประกอบด้วย เปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 9-14 ธ.ค.64 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUBB Pre-emptive Right) และวันที่ 15-17 ธ.ค.64 สำหรับประชาชนทั่วไป ด้วยจำนวนเสนอขายรวมทั้งสิ้น 142 ล้านหุ้น ราคา IPO หุ้นละ 7.20 บาท ผ่านผลจากการสำรวจนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) 3 แห่ง
*ผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดระดับโลก ชูกำไรโตก้าวกระโดด
นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ WFX เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า ด้วยโครงสร้างการถือหุ้นของ WFX ที่มี TRUBB เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำยางข้นรายใหญ่ในไทย มีส่วนช่วยสนับสนุนให้บริษัทได้เปรียบเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ และโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทยที่เป็นแหล่งผลิตน้ำยางข้นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด
หากพิจารณาถึงผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกปี 64 พบว่ามีการเติบโตที่โดดเด่นมาก โดยมีรายได้รวม 2,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ 51% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท หรือ 218% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 15.96% และกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 7.27%
"ช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 บริษัทเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการบริหารจัดการภายในโรงงาน ส่งผลพนักงานภายในโรงงานไม่มีผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 เทียบกับคู่แข่งในมาเลเซียได้รับผลกระทบโควิด-19 จนต้องชะลอการผลิต กลายเป็นผลบวกให้บริษัทสามารถปรับขึ้นราคาขายได้หลังจากความต้องการเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณสินค้าในตลาดลดลง เป็นโอกาสให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตได้อย่างโดดเด่นสวนกระแสกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในรอบที่ผ่านมา
นอกเหนือจากรับประโยชน์จากการเข้าไปแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกับคู่แข่งในช่วงที่เกิดโควิด-19 แล้ว บริษัทกระจายการผลิตสินค้าหลากหลายเพื่อเพิ่มยอดขายเติบโตได้ดี รวมถึงเพิ่มไลน์การผลิตสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ส่งผลให้บวกด้านการประหยัดต้นทุนเสริมความแกร่งส่วนของศักยภาพทำกำไรเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด"นายณัฐ กล่าว
*ปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน-ราคายางผันผวน
นายณัฐ กล่าวอีกว่า บริษัทให้ความสำคัญการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดจาก 2 ตัวแปรหลัก ประกอบด้วย ความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพราะบริษัทมีสัดส่วนส่งออกเกือบกว่า 98% ของยอดขายทั้งหมด แม้ว่าช่วงค่าเงินบาทอ่อนค่าบริษัทจะได้รับประโยชน์ส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน แต่ในภาวะค่าเงินบาทมีสัญญาณผันผวนบริษัทจะเลือกป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้ง 100% เพื่อปิดความเสี่ยงจากผลขาดทุนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนอีกความเสี่ยงที่บริษัทให้ความสำคัญคือราคาวัตถุดิบยางที่นำมาผลิตสินค้าที่คิดเป็นต้นทุนกว่า 70-80% โดยกลยุทธ์การบริหารจัดการวัตถุดิบมาจากทั้งการสต็อกวัตถุดิบช่วงที่ราคายางตกต่ำ หรือบางช่วงเวลาที่ราคายางปรับตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็วทางบริษัทก็มีความสามารถต่อรองกับลูกค้าเพื่อปรับเพิ่มราคาผันแปรตามราคาต้นทุนวัตถุดิบได้เช่นกัน
ปัจจุบันบริษัทมีจุดแข็งธุรกิจ 6 ด้าน ประกอบด้วย 1.บริษัทมีศักยภาพผลิตสินค้าเส้นด้ายยางยืดได้หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของผู้ผลิตทั่วโลก มีเพียงไม่กี่รายในตลาดโลกที่มีศักยภาพทัดเทียมกับบริษัท 2.สินค้าเส้นด้ายยางยืด เป็นสินค้าที่ต้องซื้อซ้ำบ่อยครั้งเพราะมีอายุการใช้งานที่จำกัด
3.มีความโดดเด่นด้านภูมิศาสตร์ เพราะมีโรงงานผลิตในไทยที่เป็นแหล่งผู้ผลิตน้ำยางข้นคุณภาพดีเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยเฉพาะการเป็นบริษัทเครือ TRUBB ได้รับการสนับสนุนน้ำยางข้นคุณภาพดีนำมาผลิตเป็นสินค้าที่มีมูลสูงหรือพรีเมียมเกรด เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ในขณะที่ด้านคู่แข่งขันอันหนึ่งจะมีฐานการผลิตประเทศมาเลเซีย แต่ปัจจุบันกลับมีวัตถุดิบที่ไม่เพียงพอกับการผลิตจึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าน้ำยางข้นจากประเทศไทย ดังนั้นบริษัทมีความได้เปรียบด้านต้นทุนเพราะปกติแล้วน้ำยางข้นจะมีส่วนผสมของน้ำถึง 40% และเรื่องภาษีส่งออกยาง ทำให้คู่แข่งอย่างมาเลเซียมีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
4.ด้วยศักยภาพการผลิตสูง ทำให้สามารถป้อนออเดอร์สินค้าให้กับคู่ค้าได้อย่างรวดเร็ว 5.บุคลากรด้านการขยายตลาดเป็นต่างชาติ สามารถเจรจาหลายภาษา ดีลกับลูกค้าได้มากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
5.บริษัทมีหลากหลายช่องทางติดต่อกับคู่ค้าได้อย่างสะดวก และ 6.มีระบบการพัฒนาสินค้าอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะด้านคุณภาพทัดเทียมและเหนือกว่าคู่แข่งขัน
*ปูทางเข้าตลาดหุ้น หวังเป้า 3 ปีข้างหน้าก้าวสู่ TOP3 ตลาดโลก
เป้าหมายในระยะยาว 3 ปีข้างหน้า บริษัทต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดติดอันดับ TOP3 ของโลก เป็นผลจากการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะนำเงินไปซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 3.5 หมื่นตันต่อปี แบ่งเป็นการขยายกำลังการผลิตเฟสแรกมีกำหนดเริ่มผลิตได้ช่วงกลางปี 65 จำนวน 6,200 ตันต่อปี และในเดือน ม.ค.66 จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 6,200 ตัน เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าในต่างประเทศที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้มั่นใจว่าจะรักษาระดับการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 15% ต่อปี
และเงินบางส่วนใช้คืนหนี้สถาบันการเงินที่เป็นเงินกู้ระยะสั้นที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ส่วนผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของปัจจุบันอยู่ที่ 1.12 เท่า ซึ่งภายหลังเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) บริษัทฯมีแผนนำเงินบางส่วนไปใช้คืนหนี้สถาบันการเงิน ทำให้ D/E อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า
"ปัจจุบันบริษัทอยู่ในอันดับ 5 ของโลก ซึ่งหากพิจารณาผู้ผลิตอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมเดียวกันมีฐานการผลิตในประเทศมาเลเซีย มีกำลังการผลิต 7 หมื่นตันต่อปี ขณะที่บริษัทมีกำลังการผลิต 3.5 หมื่นตันต่อปี แต่ก็คาดหวังว่าบริษัทจะมีกำลังการผลิตใกล้เคียงกับผู้เล่นอันดับหนึ่งช่วง 3-5 ปีข้างหน้า แต่มีเป้าหมายระยะสั้นก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ของตลาดโลกภายใน 3 ปีข้างหน้า"นายณัฐ กล่าว
https://youtu.be/xjlXZAnzVZQ