บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งประมาณการงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าของกลุ่มบริษัท (ปี 65-69) รวมมูลค่า 608 ล้านเหรียญ แบ่งเป็น
1)โครงการสำคัญ ได้แก่
- โครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 3 ล้านเหรียญ
- โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง 7 ล้านเหรียญ
- โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 จำนวน 115 ล้านเหรียญ
2)โครงการอื่นๆ อาทิ โครงการเกี่ยวกับไอที & ดิจิทัล โครงการปรับปรุงอาคารสำนักงาน เป็นต้น จำนวน 297 ล้านเหรียญ
3)โครงการของกลุ่มบริษัท Allnex Holding GmbH จำนวน 187 ล้านเหรียญ
ทั้งนี้ ไม่รวมโครงการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบมจ.วีนิไทย (VNT) จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ ตามที่ได้ยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.64
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีโครงการสำคัญที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่
- โครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Recycle Plant) ที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการลงทุน ผ่านการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้แก่ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO) มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลประเภท rPET
- โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้แก่บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัด โดยมี
- โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ของบริษัทฯ สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการเพิ่ม
สำหรับแนวโน้มตลาดและธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าอยู่ที่เฉลี่ย 79-84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันของโลก (ณ เดือนธันวาคม 2564) ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปริมาณความต้องการใช้ในปีนี้ไปอยู่ที่ระดับ 99.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สถานการณ์การขาดแคลนพลังงานของโลก รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์
สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปี 65 จะฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการเปิดประเทศ ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น รวมถึงโควต้าการ ส่งออกที่ลดลงของประเทศจีน โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 13-14 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 13-14 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล และส่วนต่างราคา HSFO กับน้ำมันดิบดูไบครึ่งอยู่ที่ -6 ถึง -5เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ในขณะที่น้ำมันแก๊ซโซลีนจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเดินทางที่เพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่ 12-13เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการยังคงบริหารจัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยบริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 87% เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงกลั่นในช่วงไตรมาส 4/2565
สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาจะทรงตัวได้ที่ระดับ 230-240 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยยังคงมีอุปทานจากผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาในตลาด แต่คาดการณ์อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมปลายน้ำ เส้นใยและสิ่งทอ (Fiber Filament) กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์(PTA) โดยเฉพาะขวดบรรจุภัณฑ์ (PET Bottle Resin) จะค่อยๆ ฟื้นตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 215-225เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยยังคงได้รับการสนับสนุนจากกำลังการผลิตใหม่ของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น สไตรีนโมโนเมอร์และฟีนอล ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตเต็มที่ที่ 99%
แนวโน้มของสถานการณ์ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในปีหน้าคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์จะทรงตัวต่อเนื่อง จากปีนี้ตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อุปทานของทั้งโรงโอเลฟินส์และโรงโพลิเมอร์จะเพิ่มขึ้นทั้งจากกำลังการ ผลิตใหม่ ๆ และการฟื้นต้วของโรงกลั่น โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE ในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,230-1,240เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในขณะที่ส่วนต่าง HDPE กับแนฟทาคาดว่าจะอยู่ที่ 500-510เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน
สถานการณ์ราคา MEG คาดว่าจะทรงตัวได้จากค่าเฉลี่ยราคาในปีนี้แม้ว่าปริมาณอุปทานมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นและอุปสงค์การใช้งานของตลาดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเส้นใยและสิ่งทอที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ รวมไปถึงอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG (ASP) ในปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 650-660เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตในปีหน้าของธุรกิจโอเลฟินส์จะอยู่ที่ 91% เนื่องจากมีแผนการการปิดซ่อมบำรุงของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3ในช่วงไตรมาส 2/2565 เป็นเวลา 39 วันและการปิดซ่อมบำรุงเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการปรับปรุงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/2 ในไตรมาส 4/2565และคาดการณ์การใช้กำลังการผลิตของธุรกิจโพลิเมอร์จะอยู่ที่ 103%