ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ แจ้งเรื่องการพ้นเหตุเพิกถอนของบมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป (A5)
เรื่อง : การพ้นเหตุเพิกถอน ชื่อบริษัท : บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (A5) ปลดเครื่องหมาย : SP และ NC เหตุผล : ปฏิบัติตามข้อกำหนดของการพ้นเหตุเพิกถอนหลักทรัพย์ของตลาด หลักทรัพย์แล้ว ตลาดรอง : MAI กลุ่มอุตสาหกรรม : อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง วันที่เริ่มทำการซื้อขายภายหลังพ้นเหตุเพิกถอน : 07 มี.ค. 2565 ลักษณะธุรกิจ : A5 ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทย่อย 2 บริษัท พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดและบ้านจัดสรร เพื่อขาย ที่ปรึกษาทางการเงิน (กรณีพ้นเหตุเพิกถอน) : - หมายเหตุ
- ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลบริษัทจากสรุปข้อสนเทศของ A5 ที่เผยแพร่ผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์
- ตลาดหลักทรัพย์จะไม่กำหนดราคาซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling & Floor) ของหลักทรัพย์ A5 ในวันที่ 7
- ตลาดหลักทรัพย์จะนำหลักทรัพย์ A5 มารวมในการคำนวณดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai Index)
- ตลาดหลักทรัพย์จะนำหลักทรัพย์ A5 มารวมในการคำนวณดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai Index)
นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร A5 เปิดเผยว่าปัจจุบันบริษัทฯ สามารถนำส่งงบการเงินได้ภายในระยะ เวลาที่กำหนดได้ครบทุกงวด มีรายได้หลักและกำไรจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขายตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย (ตลท.) และรายงานของผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข
บริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบระบบการควบคุมภายในของระบบงานที่สำคัญและดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเรียบร้อยแล้วซึ่ง คณะกรรมการตรวจสอบ ได้พิจารณาความเพียงพอของระบบควบคุมภายในว่ามีความเหมาะสมแล้ว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ทั้งนี้ บริษัทฯ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการรับหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ดังนั้นตลท.จึงอนุมัติให้หลักทรัพย์ ของบริษัท (A5) กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป
นายศุภโชค กล่าวต่อไปว่าบริษัทฯ มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจุบันมี บริษัทย่อย 2 แห่ง คือบริษัท แอสเซท ไฟว์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ (AFD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัด ส่วนร้อยละ 96.67 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และบริษัท รชยาเรียลเอสเตท จำกัด หรือ (RCY) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ AFD ถือหุ้นร้อย ละ 99.99ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีกิจการร่วมค้าอีก 1 แห่งคือบริษัท ต้นสน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (TONSON) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 47.50 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่รวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,200 ล้านบาท โดย แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ มูลค่า 2,700 ล้านบาท และบ้านแนวราบในจังหวัดอุดรธานี 2 โครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ 1,000 ล้านบาท โดยยอดรับรู้รายได้ส่วนหนึ่งจะมาจาก การขายและโอนบ้านพร้อมอยู่เฟสสุดท้ายในโครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์
"โครงการส่วนใหญ่ของกลุ่มบริษัทฯ เป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบที่ก่อสร้างทีละเฟส (Phase) สามารถคาดการณ์แนวโน้ม อัตรา การดูดซับ รวมถึงชะลอการก่อสร้างได้ในกรณีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชะลอการตัดสินใจ ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียม ระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัว รี่ ของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเล CBD ขายได้แล้วกว่าร้อยละ 80 ของยูนิตทั้งหมด และลูกค้ากลุ่มระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ ผ่อนชำระเงิน ดาวน์อย่างสม่ำเสมอ เห็นได้ว่าผลกระทบจากสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อผลประกอบการของกลุ่มบริษัทฯ มีไม่สูงมากและ สามารถบริหารจัดการได้" นายศุภโชค กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่ส่งผลต่อการดำเนิน งานของกลุ่มบริษัทฯ ส่งผลให้เกิดการปรับตัว ดังนั้นบริษัทฯ จึงให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในการคิดค้นออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบสนอง ความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค พร้อมกับมีการปรับในส่วนของการทำงานภายในองค์กรของกลุ่มบริษัทฯ ให้มีความ ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการประสานงานและเพื่อให้การทำงานสามารถบรรลุผลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น