บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2565 มีมติเห็นชอบให้ซื้อหุ้นใน LEONI Kabel GmbH ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนภายใต้กฎหมายของประเทศเยอรมนี และ LEONIsche Holding Inc ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนภายใต้กฎหมายของรัฐเดลาแวร์ ในสัดส่วน 100% ของหุ้นสามัญทั้งหมด โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 560 ล้านยูโร (หรือประมาณไม่เกิน 20,588.90 ล้านบาท)
บริษัทคาดว่าจะดำเนินการเข้าทำธุรกรรมเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565
LEONI Kabel ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2542 ที่เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี โดยประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลไฟฟ้าสำหรับโซลูชั่นยานยนต์และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ซึ่งจัดจำหน่ายภายในประเทศเยอรมนีและหลากหลายประเทศ LEONIsche ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539โดยประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) สำหรับธุรกิจ AM ของ LEONI ในทวีปอเมริกา
บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสายไฟและสายเคเบิ้ลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ ด้วยแรงผลักดันจากแนวโน้มการเติบโตของตลาดยานยนต์และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลไฟฟ้าจึงจัดได้ว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญประเภทหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากในปัจจุบันและอนาคต
บริษัทคาดว่าการเข้าทำธุรกรรมเป้าหมายจะเกิดประโยชน์ต่อบริษัท ดังต่อไปนี้
(1) กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมระดับสูงของบริษัทเป้าหมายจะเป็นการเปิดโอกาสในทางธุรกิจให้กับบริษัทในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจสายไฟและสายเคเบิลสำหรับยานยนต์และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากทั่วโลก และเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตสายไฟและสายเคเบิลชั้นนำในระดับภูมิภาคและระดับโลก
(2) การแบ่งปันความรู้ทางการตลาด ความสัมพันธ์กับลูกค้า และความสามารถด้าน R&D ของบริษัท เป้าหมายจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท รวมถึงการเจาะตลาด และการเข้าถึงลูกค้า
(3) ผลประโยชน์ทางการเงินจากบริษัทเป้าหมาย จะช่วยปรับปรุงสถานะทางการเงินของบริษัทซึ่งมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในอดีตให้ดียิ่งขึ้น เช่น ผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้น และกำไรสุทธิต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้น (EPS Accretive) ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของตลาดยานยนต์(EV Car)
ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนในธุรกรรมครั้งนี้มาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเป็นหลักไม่เกิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (จำนวน ประมาณ 17,297.85 ล้านบาท) และส่วนที่เหลืออาจมาจากกระแสเงินสดหมุนเวียนภายในของบริษัท ซึ่งอาจรวมถึงการเพิ่มทุนของบริษัท อาทิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ (STARK-W1) และ/หรือ การเพิ่มทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นสูงสุดและทำให้เกิด EPS Accretive