บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 8/65 (30 ก.ย.) อนุมัติการเข้าลงทุนใน บมจ. ธนูลักษณ์ (TNL) โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TNL ที่จะออกและเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 87,237,766 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นสัดส่วน 41.09% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TNL ภายหลังการเพิ่มทุน ในราคาจองซื้อหุ้นละ 33.06 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,884,080,543.96 บาท
และการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TNL หลังบริษัทเข้าถือหุ้น 41.09% เนื่องจากมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดใน TNL (Mandatory Tender Offer) ได้แก่ หุ้นสามัญของ TNL ส่วนที่เหลือทั้งหมดนอกจากหุ้นที่ถือโดย บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) เนื่องจากบริษัทและ SPI มีข้อตกลงที่ SPI จะไม่ขายหุ้นของ TNL ที่ถืออยู่ให้แก่บริษัทในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ดังนั้น จำนวนหุ้นที่จะเข้าซื้อคิดเป็นจำนวน 37,837,234 หุ้น หรือ 17.82% ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 33.06 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,250,898,956.04 บาท
อนึ่ง เนื่องจากบริษัทไม่มีความประสงค์จะลงทุนใน TNL ในลักษณะที่เป็นการได้มาซึ่งกิจการเกินกว่า 50% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TNL เนื่องจาก บริษัทและ SPI มีวัตถุประสงค์ที่จะเป็นพันธมิตรร่วมทุนใน TNL ดังนั้น หากบริษัทได้รับหุ้น TNL จากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เกินกว่า 50% บริษัทจะจำหน่ายหลักทรัพย์ในส่วนที่เกินกว่า 50% ให้แก่ผู้ลงทุนรายอื่นทันทีภายหลังจากสิ้นสุดระยะเวลาการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าว
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร BTS กล่าวว่า ภายหลังจากการลงนามความร่วมมือในวันนี้ ทาง TNL จะขับเคลื่อนธุรกิจโดยมี นายธรรมรัตน์ โชควัฒนา เป็นประธานคณะกรรมการ และจะเริ่มดำเนินการขยายธุรกิจด้วยการลงทุนในธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน โดยมุ่งเน้นลูกค้าเงินกู้รายใหญ่ผ่านการลงทุนใน บริษัท Oxygen Asset Co., Ltd ซึ่งจะเป็นบริษัทย่อยของ TNL มูลค่าประมาณ 4,300 ล้านบาท ซึ่งเริ่มธุรกิจเพียง 1 ปี มียอดมูลค่าสินเชื่อ (Loan Outstanding) แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท และคาดว่า ณ วันที่เข้าทำรายการหลังจากการอนุมัติของผู้ถือหุ้นจะมียอด Loan Outstanding ประมาณ 3,500 ล้านบาท
รวมทั้งจะต่อยอดการลงทุนครบวงจรในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่มีหลักประกัน และจะร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ศักยภาพสูงร่วมกับทาง บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) อีก 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท รวมมูลค่าสินทรัพย์การขยายธุรกิจร่วมกันในช่วงแรกกว่า 6,700 ล้านบาท
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานกรรมการ SPI กล่าวว่า นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอีกครั้งหนึ่งที่ทั้งสององค์กรได้ลงทุนในธุรกิจร่วมกัน และเชื่อว่าจากความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นการต่อยอดไปสู่ความร่วมมือธุรกิจด้านอื่น ๆ ในอนาคต และยังเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความเป็นพันธมิตรของเครือสหพัฒน์ และกลุ่มบริษัทบีทีเอส ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมผนึกกำลังเพื่อเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ทั้งสององค์กรมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี ผ่านมิตรภาพ และสายสัมพันธ์อันดีในการดำเนินธุรกิจถึง 3 รุ่น เริ่มตั้งแต่รุ่นบุกเบิกคือ ดร. เทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒน์ และนายมงคล กาญจนพาสน์ ที่อาศัยอยู่ในย่านการค้าเก่าแก่ของคนจีน คือ ถนนเยาวราช ราชวงศ์และทรงวาด บุกเบิกธุรกิจก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มาสู่ความสัมพันธ์ที่ดีของรุ่นที่สองคือ นายบุณยสิทธิ์ และนายคีรี จากมิตรภาพอันแน่นแฟ้นจากทั้งสองรุ่นได้สานต่อมาสู่ทายาทรุ่นที่ 3 ส่งผลให้ทั้งสององค์กรมีมุมมองและวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริม เติมเต็ม ซึ่งกันและกัน นำไปสู่การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และยังเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสององค์กรผ่านการสืบทอดแนวคิดในการดำเนินธุรกิจ ทั้งเรื่องความซื่อสัตย์ และคุณธรรม สู่การสร้างฐานเศรษฐกิจไทยที่มั่นคง และยั่งยืน
นอกจากนี้ คณะกรรมการ BTS อนุมัติการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงกระทำการ (Undertaking Letter) ระหว่างบริษัทฯ และ บมจ.ยู ซิตี้ (U)โดยเมื่อปี 2561 บริษัทฯ และ U ได้กำหนดนโยบายการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยตลอดระยะเวลาที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ใน U ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมรวมกันในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ U บริษัทฯ จะไม่ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่แข่งหรือทับซ้อนหรือน่าจะแข่งหรือน่าจะทับซ้อนกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ U
อย่างไรก็ดี เนื่องจาก U มีความประสงค์จะมุ่งเน้นการทำธุรกิจให้บริการทางการเงิน และอยูในระหว่างการจำหน่ายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในระหว่างที่ U ยังคงจำหน่ายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อไม่ให้เป็นการจำกัดโอกาสในการดำเนินธุรกิจพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ บริษัทจึงได้เสนอให้ U เปลี่ยนแปลงข้อตกลงกระทำการในการกำหนดขอบเขตการประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระหว่างบริษัทฯ และ U ทั้งนี้สาระสำคัญของข้อตกลงกระทำการฉบับใหม่สามารถสรุปได้ดังนี้
1.โรงแรม: บริษัทฯ จะต้องไม่ดำเนินธุรกิจโรงแรมประเภทและระดับ (ดาว) เดียวกันกับของ U ภายในรัศมี 2 กิโลเมตร โดยการกำหนดพื้นที่ที่ถูกจำกัดขอบเขตจะกำหนดจากที่ตั้งโรงแรมของ U ซึ่งเป็นโรงแรมที่ ใช้ในการพิจารณา
2. อาคารสำนักงาน หรืออาคาร mixed-use: บริษัทฯ จะต้องไม่ดำเนินธุรกิจอาคารสำนักงาน หรือ อาคาร mixed-use ในประเภทและระดับ (ค่าเช่า) เดียวกันกับของ U ภายในรัศมี 2 กิโลเมตรโดยการกำหนดพื้นที่ที่ถูกจำกัดขอบเขตจะกำหนดจากที่ตั้งอาคารของ U ซึ่งเป็นอาคารที่ใช้ในการพิจารณา