นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีแพนเนล (CPANEL) กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/65 แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ปัจจัยสนับสนุนจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ-แนวสูง เร่งการก่อสร้างเพื่อส่งมอบให้ลูกค้า ก่อนที่ภาครัฐจะยกเลิกสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่จะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยระดับกลาง-บน ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าของบริษัท
โดยมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ 9 พฤศจิกายน 2565 อยู่ที่ประมาณ 1,146 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 66 นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา 5 โครงการทั้งแนวราบและแนวสูง มูลค่ารวมกว่า 150 - 300 ล้านบาท อีกทั้งอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลประกอบการปี 65 จะสามารถทำนิวไฮและเติบโตได้มากกว่า 30% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 25% เมื่อช่วงต้นปี
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/65 บริษัทมีกำไรสุทธิ 24.38 ล้านบาท เติบโต 613.29% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.42 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากการขายส่งผลให้เกิด Economy of Scale
ในไตรมาส 3/65 บริษัทมีรายได้จากการขาย 121.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขายแผ่นผนังและแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปเป็นสำคัญ
ขณะที่ต้นทุนขายอยู่ที่ 69.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้จากการาย แต่การเพิ่มทุนต้นทุนขายน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 42.60% ขณะที่ไตรมาสเดียวกันปีก่อนมีอัตรากำไรขั้นต้น 33.51% ที่เป็นผลจาก Economy of Scale จากรายได้จากการการขายเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีผลกระทบจากราคาเหล็กซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 316.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 220.67 ล้านบาท จำนวน 96.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 43.52% และมีกำไรสุทธิ 48.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20.19 บาท จำนวน 28.77 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 142.48% ซึ่งเติบโตมากกว่าผลประกอบการทั้งปี 2564 ที่มีรายได้รวม 312.44 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 31.80 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่น จากการพัฒนาระบบการผลิต ทำให้ผลิต Precast Concrete ได้ในปริมาณที่มากขึ้น และส่งมอบงานได้รวดเร็ว รวมถึงมีการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถทำกำไรได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ