บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) รายงานผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ 18,285.2 ล้านบาท ในปี 2565 สูงกว่าปี 2564 ที่มีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ 1,428 ล้านบาท จากค่าเสื่อมราคาโครงข่ายและค่าตัดจำหน่ายคลื่นความถี่ที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการขยายโครงข่ายและการให้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1.2 พันล้านบาท และค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำประมาณ 8.5 พันล้านบาทในไตรมาส 4 อาทิการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนหรือคาดว่าจะไม่ได้ใช้ในบริษัทใหม่ที่จะเกิดขึ้นภายหลังการควบรวมกิจการ การด้อยค่าของค่าความนิยม และผลกระทบจากการประเมินมูลค่าประจำปีของหน่วยลงทุน DIF
ทั้งนี้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 จากปีก่อนเป็น 50,587 ล้านบาท จากการขยายโครงข่ายและ บริการคุณภาพของกลุ่มบริษัทซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานหลักเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
และดอกเบี้ยจ่าย (สุทธิ) เป็น 10,946 ล้านบาท ไม่รวมผลกระทบจาก TFRS 16 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจและความต้องการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ส่วนรายได้จากการให้บริการ 103,845 ล้านบาทซึ่งลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน จาก ARPU ที่ลดลงตามการแข่งขันในตลาด และจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและการแข่งขันในตลาด แม้ฐานผู้ใช้บริการจะเติบโต ส่งผลให้ EBITDA อ่อนตัวลงมาที่ 52,804 ล้านบาท ลดลง 8.6% จากปีก่อน ในขณะที่มาตรการด้านการควบคุมต้นทุนยังดำเนินอยู่อย่างเข้มงวด ท่ามกลางต้นทุนด้านพลังงานและสาธารณูปโภคที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ
ธุรกิจมือถือ หรือ ทรูมูฟ เอช มีรายได้จากการให้บริการ 79,294 ล้านบาท ค่อนข้างทรงตัว (ลดลงร้อยละ 0.6) จากปีก่อน มีผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิ 1.5 ล้านรายในปี 2565 ส่งผลให้ฐานผู้ใช้บริการรวมเพิ่มขึ้นเป็น 33.8 ล้านราย แบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าระบบรายเดือน 11.7 ล้านรายและกลุ่มลูกค้าระบบเติมเงิน 22.1 ล้านราย
ธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตของทรูออนไลน์ มีรายได้ 29,055 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.5 จาก ARPU ที่หดตัวซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม ในขณะที่ฐานลูกค้ายังคงเติบโตเป็น 4.97 ล้านราย โดยมีผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิ 334 พันรายในปี 2565
ทั้งนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นของ TRUE สิ้นปี 65 อยู่ที่ 61,407 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.9 จากปี 64 ที่มีส่วนผู้ถือหุ้น 81,818 ล้านบาท