ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ได้มีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัดและใช้สิทธิเรียกให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A จึงเป็นเหตุให้บริษัทมีภาระหนี้ทางการเงินที่ต้องชำระอย่างเร่งด่วน การใช้สิทธิดังกล่าวยังก่อให้เกิดเหตุผิดนัดไขว้ (cross default) ภายใต้สัญญาทางการเงินอื่น ๆ ทั้งหลายและทำให้เจ้าหนี้ทางการเงินอื่น ๆ ของบริษัทสามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้หนี้ทางการเงินเหล่านั้นถึงกำหนดชำระทันที โดยในเบื้องต้น บริษัทประเมินว่าจะมีหนี้ที่เกิดการผิดนัดทั้งสิ้น ดังต่อไปนี้
- หนี้หุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A ซึ่งมีเงินต้นค้างชำระรวมจำนวน ทั้งสิ้น 2,241,000,000 บาท ตามที่ได้มีมติอนุมัติเรียกให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยภายใต้หุ้นกู้ทั้งหมดถึงกำหนดชำระโดยพลัน โดยในกรณีนี้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จะต้องส่งหนังสือแจ้งมายังบริษัท (ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้) ให้ชำระหนี้เงินตามหุ้นกู้ทั้งหมดซึ่งยังไม่ถึงกำหนดชำระ ภายใน 5 วันทำการนับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีมติดังกล่าว โดยจะกำหนดให้บริษัทชำระหนี้เงินต้นคงค้างทั้งหมดภายใต้หุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทำหนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลันถึงบริษัท
- การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ในข้อ (ก) จะส่งผลให้หุ้นกู้อีก 3 ชุดได้แก่หุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A ซึ่งมีเงินต้นค้างชำระรวมจำนวน 6,957,400,000 บาท เกิดการผิดนัดไปด้วย
- ในส่วนของเจ้าหนี้ทางการเงินอื่น ๆ ที่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ทั้งหมดในลักษณะเดียวกัน บริษัทมิได้นิ่งนอนใจ และกำลังพิจารณาทำการสื่อสาร เจรจา หาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้ดังกล่าวอยู่เพื่อให้เจ้าหนี้ระงับซึ่งการใช้สิทธิดังกล่าว จึงยังไม่สามารถสรุปยอดหนี้ที่อาจมีการใช้สิทธิในแบบเดียวกันได้ เนื่องจากเหตุแห่งการเรียกชำระหนี้โดยพลันของหุ้นกู้เพิ่งจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี เนื่องจากบริษัทอยู่ในระหว่างการเตรียมแผนธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนแผนธุรกิจสำรองเพื่อรองรับผลประกอบการตามงบการเงินประจำปี 2565 ที่จะเปิดเผยภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2566 บริษัทจะรวมการดำเนินการใด ๆ ในส่วนของหุ้นกู้ในแผนธุรกิจและแผนสำรองดังกล่าวและเปิดเผยแนวทางในการดำเนินการของบริษัทเพิ่มเติมในภายหลัง
อนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้ทางการเงิน และเจ้าหนี้ต่าง ๆ ของบริษัท บริษัทกำลังขอเจรจากับเจ้าหนี้ทางการเงินที่สำคัญทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัท เพื่อมิให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ใช้สิทธิแบบเดียวกัน
ขณะเดียวกันบริษัทก็พิจารณาถึงความเสี่ยงอันเกิดจากการกระทำใด ๆ ที่อาจถือเป็นการเลือกปฏิบัติและให้เปรียบเจ้าหนี้กลุ่มใด ๆ เหนือเจ้าหนี้รายอื่น บริษัทจึงเห็นว่าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มใด ๆ เป็นการเฉพาะ เพราะอาจถูกเจ้าหนี้กลุ่มอื่นเพิกถอนหรือส่งกระทบในทางลบต่อการเจรจากับเจ้าหนี้กลุ่มอื่น ดังนี้ จึงควรรอให้ผลของการเจรจาสิ้นสุดลงว่าจะบริหารการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้และกลุ่มอื่น ๆ อย่างไร โดยเท่าเทียมกัน ก่อนดำเนินการชำระหนี้ใด ๆ