นายสันติ ชาญกลราวี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) ชี้แจงผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2550 - 2551 (มกราคม - มีนาคม 2551) และ ประจำปี 2550 -2551 (เมษายน 2550 - มีนาคม 2551) บริษัทมีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 4/2550 - 2551 เป็นจำนวนเงิน 1,491 ล้านบาท (ไตรมาสที่ 3/2550 - 2551 มีกำไรสุทธิเป็นจำนวนเงิน 617 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือร้อยละ 142 สาเหตุหลักเนื่องมาจากราคาขายที่เพิ่มขึ้นตันละ 5,000 บาท ในขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นตันละ 1,900 บาท
เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดือนมกราคม - มีนาคมของปี 2550 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 392 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 280 สาเหตุหลักเนื่องมาจากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตันละ 7,800 บาท ในขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นตันละ 4,300 บาท
บริษัทมีผลกำไรสุทธิสะสมทั้งปี 2550 - 2551 เป็นจำนวนเงิน 2,701 ล้านบาท (ปี 2549 - 2550 มีกำไรสุทธิเป็นจำนวน 1,337 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1,364 ล้านบาท เนื่องมาจากเมื่อปีก่อน บริษัทมีรายได้จากการเจรจาขอส่วนลดดอกเบี้ยตั้งพักที่ต้องจ่ายก่อนกำหนดเวลาชำระในการทำ Refinance 273 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรสุทธิหลังหักภาษีจะสูงกว่าปีก่อน 1,637 ล้านบาท หรือร้อยละ 122 นอกเหนือจากนี้ จากการปรับปรุงการดำเนินงานหลายๆ ด้านทำให้บริษัทสามารถเพิ่มการผลิต (เพิ่มขึ้น 243,000 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2549 - 2550)ในขณะที่ยังคงควบคุมต้นทุนวัตถุดิบโดยการปรับปรุงการปฏิบัติงานด้านการจัดหาเศษเหล็ก (ต้นทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2549 - 2550 เพียงตันละ 2,400 บาท) ส่งผลให้ปริมาณขายสูงกว่าปีก่อน 316,000 ตัน และราคาขายเฉลี่ยสูงกว่าปีก่อนตันละ 3,400 บาท นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงจากปีก่อน 156 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการทำ Refinance
บริษัทมียอดขายสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 4/2550 - 2551 เป็นจำนวนเงิน 10,156 ล้านบาท จากปริมาณขาย 388,000 ตัน เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3/2550 - 2551 ซึ่งมียอดขายสุทธิ 8,128 ล้านบาท จากปริมาณขาย 383,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 และ 1 ตามลำดับ เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยไตรมาสนี้อยู่ที่ตันละ 26,200 บาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนตันละ 5,000 บาท สืบเนื่องจากราคาของเศษเหล็กและสินค้าเหล็กเส้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน
เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดือนมกราคม - มีนาคม ปี 2550 ซึ่งมียอดขายสุทธิ 6,149 ล้านบาท จากปริมาณขาย 334,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 65 และ 16 ตามลำดับ โดยปริมาณขาย และราคาขายสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 54,000 ตัน และ 7,800 บาทต่อตันตามลำดับ สาเหตุหลักเนื่องมาจากราคาของเศษเหล็กและเหล็กแท่งในต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลต่อเนื่องมาถึงราคาสินค้าสำเร็จรูป (เหล็กเส้นก่อสร้างและเหล็กลวด) ขณะที่คู่แข่งหลายรายประสบปัญหาชะลอการผลิตสินค้าเนื่องจากการใช้เหล็กแท่งเป็นวัตถุดิบเริ่มให้ผลตอบแทนที่ไม่เหมาะสม ขณะที่บริษัทสามารถเพิ่มการผลิตและได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น
ยอดขายสุทธิสะสมทั้งปี (เมษายน 2550 - มีนาคม 2551) เป็นเงิน 31,139 ล้านบาท จากปริมาณขาย 1,433,000 ตัน เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งมียอดขายสุทธิ 20,470 ล้านบาท จากปริมาณขาย 1,117,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 52 และ 28 ตามลำดับ ราคาขายเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ตันละ 21,700 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนก่อนตันละ 3,400 บาท สาเหตุหลักมาจากราคาของเศษเหล็กและเหล็กแท่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินค้าเหล็กเส้นปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตามไปด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--