บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) แจ้งแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 66 โดยระบุว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณการขาย ราคาขายและต้นทุน โดยบริษัทได้ติดตามและปรับเปลี่ยน แนวโน้มผลการดำเนินงานสำหรับปี 66 ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
บริษัทคาดการณ์ปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับทั้งปี 66 ที่ประมาณ 463,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ลดลงเล็กน้อยจากปี 65 โดยหลักจากปริมาณขายของโครงการต่างประเทศที่ลดลง สุทธิกับปริมาณขายจากโครงการในประเทศไทยที่เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบของบริษัทจะผันแปรตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยสำหรับทั้งปี 66 จะอยู่ที่ประมาณ 6 ดอลลาร์ สรอ. ต่อล้านบีทียู ลดลงจากปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากสัดส่วนปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของโครงการจี 1/61(เอราวัณ) และโครงการจี2/61(บงกช) ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ซึ่งมีราคาขายก๊าซธรรมชาติต่ำกว่าในระบบสัมปทานเดิม รวมถึงการปรับลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติย้อนหลังตามราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถรักษาต้นทุนต่อหน่วยได้ที่ประมาณ 27-28 ดอลลาร์สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลงจากต้นทุนต่อหน่วยของปี 65 โดยหลักจากรายจ่ายค่าภาคหลวงต่อหน่วยที่ลดลงจากสัดส่วนปริมาณขายของโครงการภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิตที่มากขึ้น รวมถึงราคาขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ปรับตัวลงและค่าเสื่อมราคาต่อหน่วยที่ลดลง
PTTEP คาดการณ์ว่าไตรมาส 4/66 และไตรมาส 1/67 ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง แต่จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงตามปัจจัยอุปสงค์และอุปทานที่สมดุลมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเคลื่อนไหวในกรอบราคา 80-90 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล โดยยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ต่อไป เช่น แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง นโยบายของกลุ่ม OPEC+ และซาอุดิอาระเบีย การผลิตน้ำมันดิบจากประเทศนอกกลุ่ม OPEC+ แผนการใช้น้ำมันดิบจากคลังสำรองน้ำมันดิบทางการค้าและยุทธศาสตร์ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล - กลุ่มฮามาส เป็นต้น
ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว สำหรับไตรมาส 4/66 คาดว่าสถานการณ์ LNG ในตลาดโลกยังคงอยู่ในภาวะล้นตลาด โดยกำลังการผลิตรวมจากโครงการเดิมและโครงการใหม่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 19 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้ปริมาณรวมอยู่ที่ 422 ล้านตันต่อปี (คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 5% จากปี 65) ในขณะที่ความต้องการรวมคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 409 ล้านตันต่อปี (ข้อมูลจาก FGE เดือนกันยายน 2566)
บริษัทคาดการณ์ราคาเฉลี่ย Asian Spot LNG สำหรับปี 2566 อยู่ประมาณ 13-14 ดอลลาร์ สรอ. ต่อล้านบีทียู (ข้อมูลจาก Platts, Wood Mackenzie, FGE เดือนกันยายน 2566) โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนราคา ได้แก่ การกักตุนคลังสำรอง LNG เพื่อเตรียมรับฤดูหนาวของประเทศในภูมิภาคยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ ปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อราคาได้แก่ ระดับ LNG คงคลังในภูมิภาคยุโรปที่ยังอยู่ในระดับเพียงพอ รวมทั้งการคาดการณ์อุณหภูมิในฤดูหนาวที่อุ่นกว่าระดับปกติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการของ Spot LNG ลดลง
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3/66 บริษัทมีปริมาณขาย 467,452 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 5% จาก ไตรมาส 2/66 และเมื่อเทียบไตรมาส 3/65 ปริมาณการขายลดลง 2% กำไรสุทธิไตรมาส 3/66 จำนวน 514 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลง 96 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือ 16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/66 แม้ว่ารายได้จากการขายเพิ่มขึ้น แต่กำไรสุทธิลดลงโดยหลักจากเครื่องมือทางการเงินเปลี่ยนแปลงจากกำไรในไตรมาสก่อนเป็นขาดทุนในไตรมาสนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เพิ่มขึ้น