นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยว่า กรณีที่บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) หุ้น บมจ.บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ในราคาหุ้นละ 5.50 บาท ในระหว่างวันที่ 13 ก.พ.-22 มี.ค.67 นั้น คณะกรรมการบริษัท BTS จะมีการนัดหารือกันว่าจะตัดสินใจขายหุ้น KEX ที่ถืออยู่ทั้งหมดออกไปหรือไม่ หรือขายออกบางส่วน ก่อนที่จะสิ้นสุดวันรับซื้อหลักทรัพย์ตามคำเสนอซื้อ
ปัจจุบัน บมจ. วีจีไอ (VGI) ถือหุ้น KEX จำนวน 269,230,900 หุ้น คิดเป็น 15.45% และ BTS ถือ KEX จำนวน 88,100,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.06%
BTS แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 งวดปี 66/67 (ต.ค.-ธ.ค.66) บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น จำนวน 4,762 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการบันทึกรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ได้แก่
(1) การรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX
(2) ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ของ บมจ.แรบบิท โฮลดิ้งส์
(3) ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 53.2% จากปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (ซึ่งรวมถึงผลขาดทุนจากการด้อยค่าดังกล่าวข้างต้น) บริษัทรายงานกำไรสุทธิหลังปรับปรุงแล้ว 144 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 2.1%
โดยบริษัทมีรายได้รวม 6,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% หรือ 251 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก 1) รายได้จากการให้บริการรับเหมา เพิ่มขึ้น 217 ล้านบาท จากการเร่งงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู 2) รายได้จากการบริการและการขายเพิ่มขึ้น 197 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวถูกหักกลบบางส่วนด้วยกำไรจากการขายและเปลี่ยนสถานะเงินลงทุนที่ลดลง 185 ล้านบาท
ด้านค่าใช้จ่ายรวม เพิ่มขึ้น 122.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 10,114 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX
สำหรับงวด 9 เดือนงวดปี 66/67 บริษัทบันทึกรายได้รวม จำนวน 19,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% หรือ 1,862 ล้านบาท จากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจาก
(1) รายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น จำนวน 919 ล้านบาท
(2) การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการบริการและการขาย จำนวน 500 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจบริการดิจิทัล ภายใต้ธุรกิจ MIX และการรับรู้รายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเป็นครั้งแรก ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ภายใต้ธุรกิจMOVE
(3) การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการรับเหมา จำนวน 453 ล้านบาท จากงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง
BTS บันทึกขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นในงวดดังกล่าว 5,277 ล้านบาท จากผลกระทบจากการรับรู้รายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวของผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในแรบบิท โฮลดิ้งส์ และ JMART รวมถึงส่วนแบ่งขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนใน KEX และ (3) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
แต่หากหักรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (ซึ่งรวมถึงผลขาดทุนจากการด้อยค่าดังกล่าวข้างต้น) บริษัทรายงานกำไรสุทธิหลัก จำนวน 196 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ(ก่อนรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ หลังหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย) อยู่ที่ 1.1%
ขณะที่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นภายในกลุ่มบริษัท โดย BTS จะเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดที่ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BTS ถือหุ้น 98.23%) ถือใน VGI จำนวน 3,320,656,950 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็นราว 29.66% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ VGI ในราคาหุ้นละ 1.70 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 5,645,116,815 บาท ซึ่งจะทำให้ BTS ถือหุ้น VGI เพิ่มขึ้นจากเดิม 31.30% เป็นราว 60.97% ส่งผลให้ VGI เปลี่ยนสถานะมาเป็นบริษัทย่อยทางตรง
"การปรับโครงสร้างดังกล่าว เพื่อสร้างความชัดเจนในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ที่ต้องการให้ BTSC เป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจ MOVE ขณะที่ VGI จะเป็นหัวหอกในกลุ่มธุรกิจ MIX" นายสุรพงษ์ กล่าว