ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอให้ บมจ. สบาย เทคโนโลยี (SABUY) ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาส 1/67 เนื่องจากผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตถึงความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่อง
โดย SABUY ขาดทุน 1,961 ลบ. มีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน และขาดทุนสะสม 3,084 ลบ. และมีข้อสังเกตกรณีมีข้อบ่งชี้ว่ากลุ่ม SABUY สูญเสียอำนาจควบคุมใน บมจ. สบาย คอนเน็กซ์ เทค (SBNEXT) ทั้งนี้ SABUY ได้ตั้งด้อยค่าความนิยมและสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่น รวมทั้งเงินให้กู้ยืมแก่ SBNEXT ทั้งจำนวนรวม 1,464 ลบ. อีกทั้งบริษัทมีผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุนใน บจก. ดับเบิ้ลเซเว่น (DOU7) 996 ลบ.
ข้อมูลในงบการเงินระบุ
1.ผลกระทบจากการลงทุน SBNEXT (SABUY ถือหุ้น 24.92%) มูลค่า 1,464 ลบ. แบ่งเป็น ด้อยค่าความนิยม 487 ลบ. และ ด้อยค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่น 89 ลบ. , ขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของเงินให้กู้ยืม 889 ลบ.
- 3 พ.ค. 65 SABUY เข้าลงทุนใน SBNEXT 24.92% มูลค่าเงินลงทุน 938 ลบ.
- ไตรมาส 1/67 SABUY ตั้งด้อยค่าความนิยมและเงินให้กู้ยืมแก่ SBNEXT ทั้งจำนวน
- 26 เม.ย. 67 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ SBNEXT ลงมติไม่เห็นชอบในหลายวาระ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า SABUY อาจสูญเสียอำนาจควบคุมใน SBNEXT เนื่องจากการละเมิดสิทธิที่เกิดจากข้อตกลงตามสัญญา โดยผู้บริหารอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบต่องบการเงินไตรมาส 2/67
2.ขาดทุนจากการขายเงินลงทุนใน DOU7 (SABUY ถือหุ้น 40%) 996 ลบ.
- 3 พ.ค. 65 SABUY ซื้อหุ้น DOU7 40% จาก บมจ. คอมเซเว่น (COM7) มูลค่า 1,360 ลบ. ช ระด้วยหุ้นเพิ่มทุน 48.57 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 28 บาท
- 27 ม.ค. 67 SABUY ขายหุ้น DOU7 ทั้งหมดให้แก่ บจก. สบายฟูลฟิลเมนท์ (SBFFM: บ.ย่อย 100%) ในราคา 1,360 ลบ. และในวันเดียวกัน SBFFM ขายหุ้น DOU7 ดังกล่าวทั้งหมดให้แก่ COM7 โดยได้รับชำระเป็นหุ้น SABUY จำนวน 68 ล้านหุ้น ซึ่งมีราคาตลาดหุ้นละ 5 บาท (คิดเป็นมูลค่า 350 ลบ.) โดย 15 ก.พ. 67 บริษัทชี้แจงเพิ่มเติมว่าการรับชำระด้วยหุ้น SABUY ที่มีมูลค่าลดลงจะไม่ส่งผลกระทบต่องบการเงินรวมของบริษัท
- งบการเงินไตรมาส 1/67 ปรากฏรายการขาดทุนจากการขาย DOU7 มูลค่า 996 ลบ. และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทขาดทุน 1,961 ลบ
3. ขาดทุนจากการด้อยค่าความนิยมและสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่น 749 ลบ. นอกจากการตั้งด้อยค่าความนิยมและสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่นของ SBNEXT มูลค่า 576 ลบ. แล้ว SABUY ยังตั้งด้อยค่าความนิยมของบริษัทย่อยอีก 5 บริษัทรวม 173 ลบ. (70% ของมูลค่าเงินลงทุน) เนื่องจากมีข้อบ่งชี้ว่าธุรกิจดังกล่าวอาจไม่อยู่ในแผนธุรกิจของผู้ถือหุ้นใหม่ที่จะเข้ามาลงทุน (กลุ่ม Lightnet)
ประเด็นที่ ตลท.ขอให้ชี้แจง
1. หลักเกณฑ์ในการพิจารณาตั้งด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทร่วม
2. รายละเอียดข้อบ่งชี้ว่ากลุ่มบริษัทได้สูญเสียอำนาจการควบคุมใน SBNEXT เนื่องจากการละเมิดสิทธิที่เกิดจากข้อตกลงตามสัญญาตามที่ผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกต รวมถึงรายละเอียดของเงินให้กู้ยืมกับ SBNEXT และแนวทางติดตามหนี้
3. ความเห็นของคณะกรรมการและคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับความเหมาะสมของการตั้งด้อยค่าเงินลงทุน อันเป็นผลจากแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจของกลุ่มบริษัท
4. ความคืบหน้าในการแก้ไขการถือหุ้นไขว้ของบริษัทกับ SBFFM ตามที่บริษัทเคยชี้แจงเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ว่าจะแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับจากวันที่รายการแลกหุ้น DOU7 กับ SABUY เสร็จสมบูรณ์
พร้อมกันนั้น ตลท.ขอให้ SBNEXT ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาส 1/67 ซึ่งผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่องบการเงิน เนื่องจากมีความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญของการดำเนินงานต่อเนื่อง
โดย SBNEXT ขาดทุนสุทธิ 93 ลบ. มีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน และมีขาดทุนสะสม บริษัทผิดเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ยืมทำให้สถาบันการเงินและผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกชำระคืนทันที รวมทั้งมีข้อบ่งชี้ว่ากลุ่มบริษัทอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก SABUY ผู้ถือหุ้นใหญ่ 24.92% สินทรัพย์ที่ไม่มีภาระผูกพันมีจำกัดซึ่งอาจมีผลต่อการหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม
ข้อมูลในงบการเงินระบุว่า
1. ความสามารถในการชำระหนี้ ได้แก่ เงินกู้ยืมระยะสั้นจากกลุ่ม SABUY 964 ลบ. คิดเป็น 51% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย, เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 725 ลบ.และ เงินกู้ยืมจากบุคคลอื่น 50 ลบ.
- เงินกู้ยืมชำระคืนเมื่อทวงถามจาก SABUY วงเงิน 889 ลบ. ดอกเบี้ย 6.3-6.4% ซึ่ง SABUY ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งจำนวนในงบไตรมาส 1/67
- เงินกู้ยืมจากบริษัทร่วมของ SABUY วงเงิน 75 ลบ. ดอกเบี้ย 10-15% ครบกำหนดชำระ 14 เม.ย. 67 และ 31 พ.ค. 67
- กลุ่มบริษัทผิดเงื่อนไขทางการเงินที่ระบุในสัญญากู้ยืมเงิน ทำให้อาจถูกเรียกชำระคืนเงินกู้ยืมในทันที
- เดือน เม.ย. 67 ผู้ให้กู้เรียกให้วางเงินลงทุนในตราสารทุนเพื่อใช้เป็นหลักประกันเพิ่มเติม เนื่องจากมูลค่าหลักประกันลดต่ำลง โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ให้กู้
2.การลงทุนในตราสารทุน 498 ลบ.โดยปี 66 และไตรมาส 1/67 บริษัทนำเงินไปซื้อขายตราสารทุนคิดเป็น 93% และ 8% ของสินทรัพย์รวมตามลำดับ และเกิดผลขาดทุนในตราสารทุนที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรม ซึ่งจากข้อมูลใน www.set.or.th พบว่า SBNEXT ลงทุนใน SABUY
วันปิดสมุดทะเบียนของ SABUY จำนวนหุ้น % ของทุนชำระ SABUY 8 ส.ค. 66 72,850,000 3.96 29 มี.ค. 67 99,765,400 5.65 24 เม.ย. 67 71,523,620 4.05
3. ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 89 ลบ. เพิ่มขึ้น 3.7 เท่าจากงวดเดียวกันของปีก่อน และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัท ขาดทุน 93 ลบ.
4. หนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากคดีความ บริษัทถูกฟ้องร้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิเครื่องหมายการค้า มีทุนทรัพย์ถูกฟ้อง 50 ลบ. (5.12% ของส่วนของผู้ถือหุ้น) ซึ่งผลการพิจารณาคดียังไม่สิ้นสุด
ประเด็นที่ ตลท.ขอให้ SBNEXT ชี้แจง
1. การแก้ปัญหาสภาพคล่องแนวทางการจัดหาแหล่งเงินเพื่อชำระหนี้และใช้ในการดำเนินงาน
2. รายละเอียดการกู้ยืมเงินและการนำสินทรัพย์ของบริษัทไปค้ำประกันให้กลุ่ม SABUY การลงทุนในหุ้น SABUY และการปฏิบัติตามเกณฑ์การทำรายการกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน
3. นโยบายการพิจารณาลงทุนและวัตถุประสงค์การลงทุนในตราสารทุน การบริหารความเสี่ยงและติดตามผลตอบแทนจากการลงทุนสัดส่วน แหล่งเงินทุน ความเห็นของคณะกรรมการและคณะกรรมการตรวจสอบ
4. นโยบายการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสาเหตุการเพิ่มขึ้นของรายการดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งแนวทางการติดตามหนี้
5. รายละเอียดของหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากคดีความ โดยมีทุนทรัพย์ฟ้องร้องมากกว่า 5% ของส่วนของผู้ถือหุ้น
6. ความคืบหน้าของการดำเนินการให้เป็นไปตามเกณฑ์ดำรงสถานะเรื่องการไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์เนื่องจากบริษัททำธุรกิจเดียวกับบริษัทในกลุ่มของผู้ถือหุ้นใหญ่ ตามข่าวของบริษัทเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2566
ทั้งนี้ ตลท.ขอให้ทั้ง 2 บริษัทชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของ ตลท.ภายในวันที่ 13 มิถุนายน 2567 สำหรับความเห็นของคณะกรรมการบริษัทภายในวันที่ 20 มิถุนายน 2567 โดยขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของ SBNEXT และติดตามคำชี้แจงของบริษัท