นายภูษิต แก้วมงคลศรี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (KEST) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 11 ก.พ.53 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอีกในอัตรา 1.00 บาท/หุ้น โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 เม.ย.53 เพิ่มเติมจากที่คณะกรรมการบริษัทได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว จำนวน 0.25 บาท/หุ้น ซึ่งได้จ่ายไปเมื่อวันที่ 11 ก.พ.52 หรือมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 52 รวมเท่ากับ 1.25 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินปันผล 99% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ มีมติให้เรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 53 ในวันที่ 26 มี.ค.53
KEST ได้ชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.52 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 716.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 183.50 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.41% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
เนื่องจากรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 605.36 ล้านบาท เป็น 2,116.36 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 40.06% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,638 ล้านบาท เป็น 3,798 ล้านบาท อันมีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ จาก 16,118 ล้านบาท เป็น 17,777 ล้านบาท
รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้นจาก 28.77 ล้านบาท เป็น 206.72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.17% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,248 สัญญา เป็น 2,720 สัญญา ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดอนุพันธ์จาก 17,398 สัญญาเป็น 25,311 สัญญา
รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นจาก 27.58 ล้านบาท เป็น 63.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.47% เนื่องมาจากค่าธรรมเนียมให้ยืมหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 18 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 8 ล้านบาท
รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลงจาก 70.70 ล้านบาท เป็น 77.87 ล้านบาท หรือลดลง 47.59% เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงและจำนวนเงินสำรองเพื่อรองรับธุรกิจปกติสูงขึ้น อันเนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 317.53 ล้านบาท เป็น 1,565.74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.44% ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นได้แก่ค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้น 28.12 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น 282.80 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 101.45 ล้านบาท เป็น 284.69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55.36% เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิและอัตราภาษีเงินได้จาก 25% ของกำไรสุทธิสำหรับปี 51 เป็น 25% ของกำไรสุทธิ 300 ล้านและ 30% ของกำไรสุทธิส่วนที่เกิน 300 ล้าน สำหรับปี 52