โบรเกอร์ส่วนใหญ่ แนะซื้อหุ้น บมจ.ซีพี ออลล์(CPALL)เจ้าของร้าน 7-11 จากพื้นฐานความเป็นธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง อีกทั้งยังมีจุดเด่นทางธุรกิจที่เหนือคู่แข่งมาก
ด้านผลประกอบการคาดปี 52 กำไรก้าวกระโดดมากกว่า 4,000 ล้านบาท หลังตัดขายธุรกิจโลตัสในจีน ส่วนปี 53 ยังเติบโตได้ต่อเนื่องเกินกว่า 5,000 ล้านบาท และฐานะการเงินยังอยู่ระดับแข็งแกร่ง และในปีต่อ ๆ ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการขยายสาขาใหม่สม่ำเสมอ อัตราการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น จากการเน้นรายได้จากสินค้าประเภทอาหาร และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.กรุงศรีฯ ซื้อ 24.40 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 25.00 บล.ซิกโก้ ซื้อ 27.00 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 27.75 สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื้อ เมื่ออ่อนตัว 25.00
นายธนัท รังษีธนานนท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า หุ้น CPALL ยังน่าลงทุน เนื่องจากบริษัทมีจุดเด่นทางธุรกิจ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตหรือไม่ แต่ธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อของ CPALL ยังครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 และเติบโตได้ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทมีจุดเด่นทางธุรกิจที่แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ จากเดิมที่เป็นร้านสะดวกซื้อที่ขายแต่อาหารแห้งและน้ำ แต่ CPALL มีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งกว่าในการขายอาหารสด อาหารเช้า เบเกอรี่ ที่ตอบสนอง Life Style ของคนกรุงเทพได้มาก
นอกจากนี้ ธุรกิจของบริษัทยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่มีภาระหนี้สิน มีสภาพคล่องสูง มีฐาน การเงินที่แข็งแกร่ง และเชื่อว่าการขยายสาขาร้าน 7-11 จะเป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ มองว่าในปี 52 บริษัทน่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 4,800 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 46% ส่วนใหญ่มา จากธุรกิจร้าน 7-11 รวมทั้ง การขายธุรกิจโลตัสในประเทศจีนที่มีผลประกอบการขาดทุนมาโดยตลอด ทำให้บริษัทไม่มีภาระส่วนนี้ แล้ว ส่วนปี 53 มองว่า บริษัทน่าจะมีกำไรสุทธิ 5,400 ล้านบาท หรือเติบโต 13%
“มองว่าอัตราการเติบโตของ CPALL น่าจะยังเติบได้ต่อเนื่อง ในอัตรา 13-15% ในช่วง 3-5 ปีนี้"นายธนัท กล่าว
นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า ในปี 52 คาดว่า CPALL จะมีกำไรสุทธิ 4,733 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.05 บาท เพิ่มขึ้น 43% จากปี 51 เนื่องจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม และการเพิ่มสาขาร้าน 7-11 เป็น 5,233 สาขา และ การที่ไม่ต้องรวมงบงบการเงินของโลตัส ทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลง
ดังนั้น คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ CPALL จะเพิ่มขึ้นจาก 24.0% ในปี 51 เป็น 26.4% โดยอัตรากำไรของสินค้าประเภทอาหารจะเพิ่มขึ้นจาก 28.2% เป็น 28.6% ในปี 52 และอัตรากำไรของสินค้าที่ไม่ใช่อาหารเพิ่มจาก 24.4% เป็น 24.7% โดยคาดว่า CPALL จะจ่ายเงินปันผล 0.80 บาท/หุ้นซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 3.4%
ส่วนปี 53 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิจะขยายตัวต่อเนื่อง จำนวน 5,264 ล้านบาท หรือเติบโต 11% มีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว และบริษัทยังแผนเปิดสาขาเพิ่ม 400-450 สาขา และเพิ่มสัดส่วนสินค้าประเภทอาหารโดยเฉพาะกลุ่มอาหารสด เบเกอรี่ และ นมพาสเจอร์ไรส์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งอัตรากำไรและความถี่ของลูกค้าเข้าร้าน
อย่างไรก็ตาม CPALL เป็นหุ้น Defensive ที่ได้รับผลกระทบจำกัดจากปัญหาเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมือง ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่องขณะที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งโดยมีไม่มีหนี้สินทำให้มีการจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ
บล.ซิกโก้ เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า CPALL ยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คาดว่ากำไรสุทธิปี 52 เพิ่มขึ้น 40.3% โดยมีสาขาเพิ่มขึ้นเกือบ 500 สาขา/ปี ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองที่ยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย ประกอบกับ High Season ของธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้คาดยอดขายจากสาขาเดิม เติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ สัดส่วนสินค้ากลุ่มอาหารที่สูงขึ้นและการบริหารจัดการสินค้า ในแต่ละสาขาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ หุ้น CPALL คงความเป็นหุ้น Growth Stock จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งอันได้แก่ ไม่ต้องรับรู้ผลประกอบการโลตัสที่จีน, ร้านสะดวกซื้อเป็นธุรกิจเงินสด ทำให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งมาก, รายได้เติบโตไปพร้อม ๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้น 400-450 สาขา/ปี เน้นกลุ่มอาหารพร้อมทานเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการสินค้าในแต่ละสาขามีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้อัตราสินค้าตัดทิ้งลดลงและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จะส่งผลให้ยอดขายเติบโตสูงขึ้น