บมจ.ไทยออยล์(TOP)ชี้แจงผลประกอบการไตรมาส 4/53 และปี 52 ว่า ในช่วงไตรมาส 4/52 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 78,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,723 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/51 จากภาวะเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมันที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้น ทำให้ราคาขายผลิตภัณฑ์สูงขึ้นประกอบกับกำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวดีขึ้นมาก
ดังนั้น ในไตรมาส 4/52 บริษัทฯ และบริษัทย่อยจึงมี EBITDA จำนวน 3,637 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิจำนวน 1,611 ล้านบาทหรือกำไรต่อหุ้น 0.79 บาท เปรียบเทียบกับขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/51 จำนวน 8,394 ล้านบาทหรือขาดทุนต่อหุ้น 4.11 บาท
ส่วนผลการดำเนินงานของปี 52 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 12,062 ล้านบาทหรือกำไรต่อหุ้น 5.91 บาท เพิ่มขึ้น 11,838 ล้านบาทจากปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและกำไรขั้นต้นจากการผลิตของธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์อยู่ในระดับที่ดี บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 21,393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,444 ล้านบาทจากปีก่อน
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจาก 35.08 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาปิดที่ 33.52 บาท ต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1,575 ล้านบาท และมีภาระภาษีเงินได้จำนวน 2,005 ล้านบาทจากผลการดำเนินงานที่มีกำไร
อนึ่ง เมื่อวันที่ 2 พ.ย.52 บริษัท ท็อป โซลเว้นท์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดย บริษัท ไทยออยล์ โซลเว้นท์ จำกัด ได้จัดตั้ง TOP Solvent (Vietnam) LLP เพื่อซื้อสินทรัพย์ธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลเว้นท์ในประเทศเวียดนามจาก Shell Vietnam Limited ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขยายธุรกิจและเพิ่มการบริหารจัดการโรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีเพื่อเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้น และยังถือเป็นการต่อยอดธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกในต่างประเทศอีกด้วย