MAKRO เผยปี 52 กำไรลดลงเล็กน้อย เหตุปี 51 มีรายการพิเศษ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 24, 2010 10:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.สยามแม็คโคร(MAKRO)ชี้แจงผลประกอบการงวดปี 52 ว่า กำไรสุทธิรวมก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเงินได้มีจำนวน 2,284 ล้านบาท ลดลง 193 ล้านบาท จากจำนวน 2,477 ล้านบาทในปี 2551 สืบเนื่องจากในปี 2551 มีรายการพิเศษ 2 รายการ ซึ่งเป็นกำไรจากการจำหน่ายแม็คโครออฟฟิศเซ็นเตอร์ และจำหน่ายที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ขณะที่ปี 2552 มีรายจ่ายพิเศษ 1 รายการ เป็นค่าใช้จ่ายในการโอนกิจการของบริษัท แม็คโคร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

ดังนั้น กำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้มีจำนวน 1,527 ล้านบาท ลดลง 147 ล้านบาท จากจำนวน 1,674 ล้านบาทในปี 2551 อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าวข้างต้น กำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้จะเติบโตในอัตราร้อยละ 4.4 จากปี 2551 บริษัทมีกำไรปี 52 เท่ากับ 1.53 พันล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.36 บาท ลดลงจากปีก่อนที่กำไร 1.67 พันล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.98 บาท

เนื่องจากถึงแม้ในปี 2552 เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะลดลงในอัตราร้อยละ 2.3 แต่บริษัทฯ ยังคงมียอดขายรวมที่เติบโตเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.9 และมีรายได้รวม 78,408 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับปี 2551 ซึ่งสืบเนื่องมาจากบริษัทฯ ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพของการบริการลูกค้าสมาชิก การบริหารงาน การจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มบริการให้แก่ลูกค้าสมาชิก โดยได้ดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2551

เช่น เพิ่มความหลากหลายของสินค้า ปรับปรุงพื้นที่ขายสินค้าอุปโภค ปรับโฉมสาขาภูเก็ตใหม่ทั้งระบบความเย็น การจัดสรรพื้นที่ขายสินค้า และเพิ่มสินค้าอาหารสดเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าร้านอาหาร ภัตตาคารและโรงแรมที่เพิ่มมากขึ้น จัดการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า การดำเนินการศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่สำหรับสินค้าอาหารแห้งและสินค้าอุปโภค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าอาหารแห้งและสินค้าอุปโภคให้ดียิ่งขึ้น และให้ความสำคัญในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพอาหารสด

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการพัฒนาลูกค้าสมาชิกร้านค้าปลีกขนาดย่อมผ่านโครงการ "แม็คโครมิตรแท้...โชห่วย" อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยสมาชิกให้มีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจมากขึ้น โดยบริษัทฯ ได้จัดงานตลาดนัดโชห่วยครั้งที่ 2 และร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ 12 แห่ง และมหาวิทยาลัยชั้นนำ 33 แห่ง เพื่อร่วมกันช่วยเหลือและสนับสนุนร้านค้าปลีกท้องถิ่นให้เข้มแข็ง นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เปิดดำเนินการสาขาใหม่ในระหว่างปีอีก 3 สาขา ได้แก่ สาขารามอินทรา ชุมพร และพัทยา

ในด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.2 เป็นจำนวน 4,782 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4,547 ล้านบาทของปี 2551 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.1 ของรายรับทั้งหมดซึ่งอยู่ในอัตราคงที่เมื่อเทียบกับปี 2551 ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจาก ค่าใช้จ่ายในการเตรียมการเปิดสาขาใหม่และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสาขาใหม่จำนวน 3 สาขาที่เปิดในระหว่างปี การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารนี้น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขายเนื่องจากได้มีการควบคุมดูแลค่าใช้จ่ายที่รัดกุมมากยิ่งขึ้นในทุกๆ ด้านของบริษัทฯ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานเพื่อให้ค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับต่ำ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ