นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) (SLC) ชี้แจงเรื่องแผนการเพิ่มทุนจำนวนมากว่า เหตุผลที่ SLC ยังคงเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เม.ย.53 พิจารณาการเพิ่มทุนและระดมเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทมีแผนการใช้เงินเพิ่มทุน และแผนการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่ชัดเจน โดยนอกเหนือไปจากการที่ต้องมีการระดมเงินทุนเพื่อรองรับการดำเนินงานในปัจจุบัน จากการที่มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานเป็นจำนวนมากในปี 52 แล้ว
บริษัทยังจะได้มีการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจที่ในปัจจุบันสามารถรองรับงานประเภทโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) เพียงอย่างเดียวที่มีมูลค่าไม่มากนัก โดยในส่วนของเครื่องมืออุปกรณ์ (Hardware) ที่มีมูลค่าสูง ก็ต้องมอบให้บริษัทอื่นเป็นผู้รับผิดชอบทั้งจำนวน เนื่องมาจากSLC เป็นบริษัทขนาดเล็กมีเงินทุนดำเนินงานไม่เพียงพอ และไม่มีทรัพย์สินถาวรที่จะวางเป็นหลักประกันแก่สถาบันการเงินได้ จึงไม่สามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินใดๆ ได้
นอกจากนี้ SLC ยังมีการวางแผนที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์เทคโนโลยี่สาระสนเทศ และการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยการผ่านทางบริษัทลูกอีกด้วย รวมทั้ง จะขยายการให้บริการในแบบเช่าใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (Outsourcing Full-Services) ทั้ง อุปกรณ์และโปรแกรมสำเร็จรูปให้มากขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดเงินลงทุนแรกเริ่มของลูกค้า (Initial Investment) ดังนั้น การเพิ่มทุนในครั้งนี้ จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของ SLC เจริญเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
สำหรับเงินทุนส่วนที่เหลือ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองสำหรับรองรับโอกาสทางการลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น ลงทุนในธุรกิจสื่อสมัยใหม่ (New Medias) หรือธุรกิจสื่อสารมวลชน (Mass Communication) หรือธุรกิจนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยี่สารสนเทศ (IT Innovation) หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น นั้น SLC ได้มีการวางแผนธุรกิจและแผนการดำเนินงานไว้อย่างชัดเจน แต่เนื่องจากในบางโครงการ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดต่อการตัดสินใจลงทุน และในบางโครงการสามารถหลีกเลี่ยงการลงทุนแรกเริ่มในสินทรัพย์ (Capital Expenditure) เป็นจำนวนมากได้ จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขออนุมัติการลงทุนจากผู้ถือหุ้นในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนของบริษัทฯ ถือเป็นความสำคัญต่อแผนการดำเนินงานของ SLC ในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง เพราะหาก SLC มีเงินทุนสำรองอย่างเพียงพอ จะทำให้สามารถกำหนดจังหวะเวลาในการพิจารณาโครงการลงทุนต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และจะไม่เป็นการเสียโอกาสในการลงทุน กรณีที่สามารถบรรลุข้อตกลงได้แล้ว แต่ไม่สามารถหาเงินทุนได้ทันตามกำหนด อันเนื่องมาจากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย ดังที่เคยปรากฎมาแล้วในอดีต
ทั้งนี้การลงทุนในทุกๆ โครงการ ทั้งการขยายงานธุรกิจปัจจุบัน และธุรกิจใหม่ จะต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้อย่างรอบคอบและครบถ้วน ตลอดจนได้มีการพิจารณาแนวทางเลือกอื่น เพื่อลดภาระการลงทุน และลดความเสี่ยงจากการลงทุนลงให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาเม็ดเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้น ให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมที่สุด และเมื่อโครงการใดๆ มีความพร้อม ก็จะมีการนำเสนอคณะกรรมการบริษัทฯ และ/หรือ ผู้ถือหุ้นและ/หรือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออนุมัติการลงทุนต่อไป
และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการลงทุนในอนาคต ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในปัจจุบัน และธุรกิจใหม่ SLC จึงไม่ได้กำหนดวงเงินตายตัวในธุรกิจแต่ละประเภท แต่จะขึ้นอยู่กับประเภทของการลงทุน โดยหากเป็น รายการที่เกี่ยวโยงกัน หรือ ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ การได้ มาหรือ จำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ หรือ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยอ้อม (Backdoor Listing) นั้น บริษัทจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการลงทุนทุกรายการ
อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่ได้มีการติดต่อเจรจากับนักลงทุนรายใดเป็นพิเศษเพื่อลงทุนใน SLC ผ่านการซื้อ TSR ไว้