นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการ บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ชี้แจงว่า สาเหตุของความแตกต่างของผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1/53 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.53 กำไรสุทธิเมื่อเปรียบเทียบกับขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อน เกินร้อยละ 20
ไตรมาส 1/53 บริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน จำนวน 13,677.4 ล้านบาท สูงกว่ายอดขายในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 6,654.0 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น 94% และราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15%
นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็กจำนวน 116.9 ล้านบาท เปรียบเทียบกับยอดขายในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 69.9 ล้านบาท บริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการจำนวน 70.5 ล้านบาทสูงกว่ารายได้ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 54.7 ล้านบาท
บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 1,785.7 ล้านบาท เปรียบเทียบกับขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ จำนวน 3,906.2 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณส่วนต่างระว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้อื่นจำนวน 110.9 ล้านบาท (ซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 99.8 ล้านบาท) เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้อื่นจำนวน 41.2 ล้านบาท (ซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 26.3 ล้านบาท)
บริษัทโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิจำนวน 23.0 ล้านบาท (ซึ่งรวมค่าเผื่อการลดมูลค่าของวัตถุดิบ 3.8 ล้านบาท และสินค้าสำเร็จรูป 19.2 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิจำนวน 2,728.8 ล้านบาท ซึ่งรวมค่าเผื่อการลดมูลค่าของวัตถุดิบ 2,593.3 ล้านบาท และสินค้าสำเร็จรูป 135 ล้านบาท ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการหลังการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 1,808.7 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการหลังหักการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 1,177.4 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และค่าตอบแทนผู้บริหาร ของบริษัทและบริษัทย่อย มีจำนวน 266.1 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 129.1 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น
บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้า ค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 1,653.4 ล้านบาท เปรียบเทียบกับขาดทุนก่อนส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้า ค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 1,265.3 ล้านบาท
บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าตามวิธีส่วนได้เสียจำนวน 53.5 ล้านบาท เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าในช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 289.0 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายทางการเงินมีจำนวน 226.2 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 221.0 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นๆ จำนวน 5.2 ล้านบาท เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายทางการเงินในช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจำนวน 323.2 ล้านบาท ประกอบด้วยดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 317.3 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นๆ จำนวน 5.9 ล้านบาท เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระยะสั้นและเงินกู้ยืมระยะยาวลดลง และการชำระคืนเงินกู้ระยะยาว ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทย่อย ในไตรมาส 1/53 มีจำนวน 10.6 ล้านบาท
บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ (ก่อนหักกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 25.1 ล้านบาท) จำนวน 1,470.0 ล้านบาท เปรียบเทียบกับขาดทุนสุทธิ (ก่อนหักขาดทุนส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 2.5 ล้านบาท) ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวน 1,877.6 ล้านบาท