บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการคาดการณ์ถึงความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศ ในปี 53 คาดว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้น 3% จากปี 52 ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ของภาครัฐ
โดยบริษัทฯได้ตั้งเป้าถึงผลที่จะได้รับจากโครงการลดต้นทุนต่างๆ เช่น การลงทุนในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการจัดเตรียมเชื้อเพลิงและวัตถุดิบทดแทน และหน่วยผลิตไฟฟ้าจากลมร้อนเหลือใช้ของเตาเผา 5 และ 6 ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงปีละ 25 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มดำเนินงานในเดือน ก.ค.53 นี้ อย่างไรก็ตาม ระดับราคายังอาจมีผลกระทบกับผลกำไรของบริษัทฯ ได้
สำหรับโครงการใหม่ ‘Growing Green Together’ ทางบริษัทฯ จะมุ่งมั่นพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสภาพแวดล้อม และด้านสังคม เพื่อผลประโยชน์โดยรวมสำหรับ ลูกค้า ชุมชน คู่ค้า และพนักงานของบริษัทฯ ต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วง ไตรมาส 1/53 ความต้องการปูนซีเมนต์ภายในประเทศขยายตัว 7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สืบเนื่องมาจากการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์จากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และโครงการลงทุนก่อสร้างของภาครัฐบาล
SCCC ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/53 บริษัทมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 817 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 3.55 บาท เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรอยู่ที่ 805 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 3.50 บาท
บริษัทฯ มีรายได้สุทธิรวมจากการขาย 5,411 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีรายได้สุทธิรวมจากการขาย 5,128 ล้านบาทอยู่ที่ 5.5% ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น
อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 1/53 อยู่ที่ 21.2% ปรับตัวลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงาน อยู่ที่ 25.5% ถึงแม้ว่าบริษัทประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการผลิตและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตก็ตาม ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลักเนื่องจาก ราคาขายปูนซีเมนต์ในประเทศลดลง นอกจากนี้บริษัทได้มีการซ่อมบำรุงเตาเผาปูนซีเมนต์ประจำปี 2 หน่วย ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อต้นทุนขาย