นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.มั่นคงเคหะการ(MK)แจ้งว่า ผลประกอบการประจำไตรมาส 1/53 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ 915.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.45% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ 748.00 ล้านบาท
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่บริษัทฯ ทำสถิติไตรมาสที่สร้างรายได้สูงสุด สาเหตุเนื่องจากช่วงปลายปี 52 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ ชวนชื่นโมดัส จรัญฯ-ปิ่นเกล้า และชวนชื่นโมดัส เซนโทร ซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 800 ล้านบาท และส่งผลให้เกิดการรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 1/53 กว่า 270 ล้านบาท นับเป็นโครงการที่สร้างรายได้หลักให้กับทางบริษัทฯ ในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ จากการสิ้นสุดการต่ออายุมาตรการภาษีของภาครัฐในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เร่งโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสนี้
บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 365.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.88% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 52 ที่มีกำไรเบื้องต้น 307.39 ล้านบาท และคิดเป็นอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) 39.90% ใกล้เคียงกับอัตรา 39.87% ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงเล็กน้อยจากค่าเฉลี่ยของปี 52 ซึ่งอยู่ที่อัตรา 40.64%
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 108.14 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์สโมสรในโครงการให้แก่นิติบุคคลบ้านจัดสรร จึงเกิดการบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 28 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะเท่ากับ 79.89 ล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 83.69 ล้านบาท
หลังจากหักดอกเบี้ยและภาษีแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 194.90 ล้านบาท คิดเป็น 0.23 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/52 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 168.74 ล้านบาท หรือ 0.19 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการเติบโต 15.50% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนกำไรสุทธิ บริษัทฯ มีอัตราส่วนกำไรสุทธิ 21.17% ลดลงเล็กน้อยจาก 22.42% ในไตรมาสที่ 1/52 ด้วยเหตุจากการบันทึกค่าใช้จ่ายรายการพิเศษดังที่ได้กล่าวมา
ด้านฐานะการเงินของบริษัทฯ นับว่ามีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ดังจะเห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันหลายไตรมาส ซึ่งในไตรมาส 1/53 นี้ลดลงอีกจาก 0.30 เท่า ณ.สิ้นปี 52 เป็น 0.26 เท่า และกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานที่เป็นบวก 315.07 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทฯ จะใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อที่ดินใหม่ไปเกือบ 300 ล้านบาทก็ตาม
การจัดหาที่ดินเพิ่มเพื่อนำมาพัฒนาโครงการนี้ ส่งผลให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้น 69.90 ล้านบาท โดยสุทธิจากการตัดจ่ายต้นทุนที่ดินที่ได้จำหน่ายและโอนกรรมสิทธิ์แก่ลูกค้า ในขณะที่หนี้สินรวมปรับตัวลดลง125.22 ล้านบาท ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากการชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน โดยที่ส่วนของผู้ถือหุ้นยังเพิ่มสูงขึ้น 195.13 ล้านบาท จากกำไรที่เพิ่มขึ้น