บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) ชี้แจงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.53 บริษัทและบริษัทย่อย ( บริษัทฯ ) มีกำไรสุทธิรวม 157.36 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิรวม 1,084.22 ล้านบาท สำหรับงวดเดียวกันของปี 52
เนื่องจากรายได้จากการเดินเรือสุทธิ (รายได้จากการเดินเรือสุทธิจากรายจ่ายท่าเรือและน้ำมันเชื้อเพลิง) ของไตรมาส 2/53 ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 52 ประมาณ 51% สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องมาจากการลดลงของจำนวนเรือที่ดำเนินงานในไตรมาสนี้ จากการขายเรือที่มีอายุมากของกองเรือออกไป
และ รายได้จากการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือลดลงจาก 13,320 ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 2/53 เป็น 11,949 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับไตรมาส 2/53 รายได้จากการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือที่ลดลง เนื่องมาจากมีเรือบางลำที่สัญญาให้เช่าเรือได้หมดลงในระหว่างไตรมาสนี้และได้ทำสัญญาใหม่ที่อัตราค่าระวางซึ่งต่ำกว่าของงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ รายได้จากการเดินเรือสำหรับไตรมาส 2/53 มาจากกองเรือเฉลี่ยจำนวน 21 ลำ ในขณะที่ในไตรมาส 2/52 มีกองเรือเฉลี่ยจำนวน 35 ลำ โดยมีเรือที่ขายและส่งมอบแล้วจำนวน 1 ลำ และมีการซื้อเรือมือสองที่อายุน้อยมาจำนวน 1 ลำ ในไตรมาสนี้ ทำให้บริษัทฯ มีกองเรือเท่ากับ 21 ลำ ณ วันที่ 30 มิ.ย.53
ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินเรือลดลง 47% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 52 เนื่องจากการลดลงของจำนวนเรือที่ดำเนินงานในระหว่างไตรมาสนี้ดังที่ได้อธิบายข้างต้น และค่าใช้จ่ายในการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือได้ลดลงจาก 4,990 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับไตรมาส 2/52 มาอยู่ที่ 4,824 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับไตรมาส 2/53 (รวมค่าใช้จ่ายตัดบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและสำรวจเรือของทั้งสองงวด)
บริษัทฯ ได้บันทึกกำไรจากการขายเรือจำนวน 63.91 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรจากการขายเรือแล้วจำนวน 1 ลำ ในไตรมาส 2/53เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรจากการขายเรือในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 384.02 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรจากการขายเรือแล้วจำนวน 8 ลำ และบริษัทฯมีภาษีเงินได้นิติบุคคลในไตรมาส 2/53 จำนวน 55.44 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่จำนวน 8.86 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เกิดจากกำไรจากการขายเรือ
สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.บริษัทและบริษัทย่อย ( บริษัทฯ ) มีกำไรสุทธิรวม 546.38 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิรวม 1,927.31 ล้านบาท สำหรับงวดเดียวกันของปี 52 เนื่องจากรายได้จากการเดินเรือสุทธิ (รายได้จากการเดินเรือสุทธิจากรายจ่ายท่าเรือและน้ำมันเชื้อเพลิง) ของครึ่งปีแรกของปี 53 ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 52 ประมาณ 54% สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องมาจากการลดลงของจำนวนเรือที่ดำเนินงานช่วงครึ่งแรกของปีนี้
และรายได้จากการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือลดลงจาก 13,952 ดอลลาร์สหรัฐ ของครึ่งปีแรกของปี 52 เป็น 12,193 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับของครึ่งปีแรกของปี 53 โดยรายได้จากการเดินเรือของครึ่งปีแรกของปี 53 มาจากกองเรือเฉลี่ยจำนวน 22 ลำ ในขณะที่งวดกันของปี 52 มีกองเรือเฉลี่ยจำนวน 39 ลำ ในครึ่งปีแรกของปี 53 มีเรือที่ขายและส่งมอบไปแล้ว 5 ลำ
ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือลดลง 50% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 52 เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือจาก 5,151 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับครึ่งปีแรกของปี 52 มาอยู่ที่ 4,895 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับงวดเดียวกันของปี 53 (รวมค่าใช้จ่ายตัดบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและสำรวจเรือ)
ในครึ่งปีแรกของปี 2553 บริษัทฯ ได้บันทึกกำไรจากการขายเรือ จำนวน 390.43 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรจากการขายและส่งมอบเรือแล้วจำนวน 5 ลำ และ บริษัทฯ ได้บันทึกขาดทุนสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 77.67 ล้านบาท สำหรับครึ่งปีแรกของปี 53 ในขณะที่งวดเดียวกันของปี 52 บริษัทฯ บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 38.74 ล้านบาท เป็นผลจากการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้มีกำไรจากการแปลงค่าเงินกู้ระยะยาวที่อยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ได้มาสุทธิกับขาดทุนจากการแปลงรายการสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิที่อยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินบาทเพื่อแสดงในงบดุล
บริษัทฯ มีภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2553 จำนวน 79.89 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 48.15 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เกิดจากกำไรจากการขายเรือ