SSI เผย Q2/53 กำไรสุทธิเติบโตตามปริมาณ-ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 29, 2010 13:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/53 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ(ก่อนหักกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 21.6 ล้านบาท) จำนวน 939.2 ล้านบาท เปรียบเทียบกับกำไรสุทธิ (ก่อนหักกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 9.2 ล้านบาท) ในไตรมาสเดียวกันของปี 52 จำนวน 693.1 ล้านบาท

เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 11,646.5 ล้านบาท สูงกว่ายอดขายในไตรมาสเดียวกันของปี 52 ซึ่งมี 7,726.1 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น 26% และราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 19% นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็กจำนวน 158.9 ล้านบาท เปรียบเทียบกับยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีจำนวน 50 ล้านบาท

บริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการ จำนวน 78.8 ล้านบาทสูงกว่ารายได้ในไตรมาสเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีจำนวน 54.3 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ 1,796.1 ล้านบาท เปรียบเทียบกับขาดทุนขั้นต้นฯ 830.7 ล้านบาท ในไตรมาส 2/52 เนื่องจากปริมาณส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น

ส่วนรายได้อื่นจำนวน 42.0 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 35.6 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีรายได้อื่นจำนวน 94.2 ล้านบาท รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 84.6 ล้านบาท

บริษัทตั้งสำรองค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิ 463.3 ล้านบาท รวมค่าเผื่อการลดมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป 323.3 ล้านบาท และ 140.0 ล้านบาท ตามลำดับ เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 52 บริษัทโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิ 1,972.8 ล้านบาท ซึ่งรวมค่าเผื่อการลดมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป 575.2 ล้านบาท และ 1,392.1 ล้านบาทตามลำดับ ทำให้มีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการหลังค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ 1,332.7 ล้านบาทเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีกำไรขั้นต้นฯ 1,142.0 ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และค่าตอบแทนผู้บริหาร มีจำนวน 232.1 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ 134.8 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น แต่บริษัทไม่มีการตั้งสำรองผลเสียหายจากคดีฟ้องร้อง เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 52 ซึ่งบริษัทตั้งสำรองฯ 2 คดี 14.5 ล้านบาท บริษัทตั้งสำรองค่าเผื่อการลดมูลค่าของวัตถุดิบจากการสั่งซื้อวัตถุดิบเป็นจำนวน 67.9 ล้านบาท ในไตรมาสสองของปี 53

บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 1,074.7 ล้านบาทเปรียบเทียบกับในไตรมาสเดียวกันของปี 52 ซึ่งมีจำนวน 1,087.0 ล้านบาท และบริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าตามวิธีส่วนได้เสีย 69.3 ล้านบาท เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งขาดทุนฯในไตรมาสเดียวกันของปี 52 จำนวน 107.5 ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายทางการเงินมีจำนวน 197.5 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 191.8 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นๆ จำนวน 5.7 ล้านบาท เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายทางการเงินในไตรมาสเดียวกันของปี 52 จำนวน 286.5 ล้านบาท เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระยะสั้นและเงินกู้ยืมระยะยาวลดลง และภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทย่อยในไตรมาสสองของปี 53 มีจำนวน 7.3 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ