บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ชี้แจงว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/53 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 267 โดยเพิ่มจากจำนวน 301 ล้านบาทในไตรมาส 2/52 เป็น 1,105 ล้านบาทและกำไรต่อหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก 0.24 บาท เป็น 0.89 บาทในไตรมาสนี้
เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากจำนวน 6,063 ล้านบาทของไตรมาสเดียวกันปีก่อนเป็น 8,544 ล้านบาท ตามการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจกลุ่ม DES Power (ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย เพาเวอร์ซัพพลายประเภท OEM, Custom Design (CD) และโซลาร์อินเวอร์เตอร์) ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 จากยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์โซลาร์อินเวอร์เตอร์ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทางบริษัทได้เริ่มทุ่มเทการวิจัยและพัฒนามาตั้งแต่ปี 2549 และเริ่มเห็นความสำเร็จในด้านการผลิตและการขายในปีนี้
ปัจจุบันตลาดที่สำคัญของผลิตภัณฑ์โซลาร์อินเวอร์เตอร์ของบริษัทฯ ได้แก่ ตลาดในยุโรป แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ บริษัทฯ คาดว่าจะขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอื่นๆ เช่น อเมริกา และเอเชีย นอกจากนี้ จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์และโทรคมนาคม ได้ส่งผลดีให้กับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์พัดลมระบายความร้อน (Cooling fan) และ DC-DC converter โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นของยอดขายอย่างน่าพอใจถึงร้อยละ 80 และร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ
อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ 27.4 ของไตรมาส 2 ปี 52 เป็นร้อยละ 28.4 ค่าใช้จ่ายจากการขายและดำเนินงาน (SG&A) ไม่รวมค่าวิจัยและพัฒนามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ 5.5 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่าย ส่วนใหญ่จัดเป็นค่าใช้จ่ายกึ่งคงที่ซึ่งไม่ได้แปรผันโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของยอดขายในสัดส่วนเดียวกัน ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการขายและดำเนินงานต่อยอดขายลดลงจากร้อยละ 13.5 ของไตรมาสเดียวกันปีก่อนเป็นร้อยละ10.1 ในไตรมาสนี้
และเมื่อประกอบกับการลดลงของค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาที่ลดลงประมาณร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายไตรมาสนี้ของปีก่อน จึงทำให้อัตราค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาต่อยอดขายลดลงเช่นกัน โดยลดจากร้อยละ 7 ของยอดขาย ในไตรมาสเดียวกันปีก่อน ลงเหลือร้อยละ 4.7 ของยอดขายในไตรมาสนี้ ทำให้กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจจากร้อยละ 6.9 เป็นร้อยละ 13.7
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 5.3 ล้านบาทซึ่งสูงกว่าไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุนจำนวน 40.5 ล้านบาท และจากการที่บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในหลายๆ ด้านตามที่ได้กล่าวข้างต้น เป็นผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 267 โดยเพิ่มจากจำนวน 301 ล้านบาทในไตรมาสสองของปีก่อนเป็น 1,105 ล้านบาทและกำไรต่อหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก 0.24 บาทเป็น 0.89 บาทในไตรมาสนี้