สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 ต.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่งชี้ว่าดีมานด์พลังงานยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และรายงานผลประกอบการที่สดใสในภาคเอกชน
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 2.28 ดอลลาร์ หรือ 2.87% ปิดที่ 81.77 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยสัญญาเดือนพ.ย.ได้รับกำหนดส่งมอบแล้วเมื่อคืนนี้
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 2.38 ดอลลาร์ หรือ 2.97% ปิดที่ 82.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคึกคัก หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 15 ต.ค.เพิ่มขึ้น 667,000 บาร์เรล แตะระดับ 361.2 บาร์เรล แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นร่วงลง 2.16 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 170.06 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 800,000 บาร์เรล อย่างไรก็ตาม สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 1.16 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 219.33 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น 0.6% แตะระดับ 82.5% มากกว่าที่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.1%
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมัน NYMEX ยังได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงอันเนื่องมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และจะเป็นปัจจัยหนุนสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น เพราะการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นๆอยู่
รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคเอกชนยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กคึกคักขึ้นด้วย โดยเมื่อวานนี้บริษัท โบอิ้ง โค, สายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ส และสายการบินยูเอส แอร์เวย์ส ต่างเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด นอกจากนี้ โบอิ้งยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการสำหรับปี 2553 ด้วย