สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงต่ำกว่าระดับ 81 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (21 ต.ค.) เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้นในรอบสัปดาห์ที่แล้วสะท้อนให้เห็นว่า ดีมานด์พลังงานในสหรัฐยังคงซบเซา
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.98 ดอลลาร์ ปิดที่ 80.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ย.ลดลง 4.03 เซนต์ ปิดที่ 2.2145 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนพ.ย.ลดลง 4.16 เซนต์ ปิดที่ 2.0410 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.77 ดอลลาร์ ปิดที่ 81.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบเพราะวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะดีมานด์พลังงานหดตัวในสหรัฐ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 15 ต.ค.เพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล แตะระดับ 361.2 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 1.16 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 219.33 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นร่วงลง 2.16 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 170.06 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น 0.6% แตะระดับ 82.5% มากกว่าที่คาดว่าจะขยับขึ้น 0.1%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบได้รับปัจจัยลบจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ซึ่งการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบมีราคาแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 16 ต.ค.ลดลง 23,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 452,000 ราย ซึ่งปรับตัวลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 455,000 ราย
ขณะที่คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐปรับตัวขึ้น 0.3% ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3