สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (16 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันดิบ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปและภาวะเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งความกังวลเรื่องความเป็นไปได้ที่จีนจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 2.52 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 82.34 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 83.02 - 82.34 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนธ.ค.ลดลง 6.19 เซนต์ ปิดที่ 2.3090 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 2.93 เซนต์ ปิดที่ 2.1657 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 1.97 เซนต์ ปิดที่ 84.73 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบเพราะกังวลว่า ภาวะเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชียอาจส่งผลให้ธนาคารกลางในหลายประเทศต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเมื่อวานนี้ธนาคารกลางเกาหลีใต้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.5% ทั้งนี้ ธนาคารกลางระบุว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในเกาหลีใต้ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดน้อยลง โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) เดือนต.ค.ปีนี้ พุ่งขึ้น 4.1% จากเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
การตัดสินใจประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้เพิ่มน้ำหนักให้กับกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในเร็วนี้ หลังจากทางการจีนรายงานว่าดัชนี CPI เดือนต.ค.พุ่งขึ้น 4.4% ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบปีนี้
ตัวเลขเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชียพุ่งขึ้นสวนทางกับในสหรัฐ โดยเมื่อวานนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พื้นฐานร่วงลง 0.6% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2549 โดยดัชนี PPI เคลื่อนไหวสอดคล้องกับการประเมินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า ตัวเลขเงินเฟ้อภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าการชะลอตัวของตัวเลขเงินเฟ้ออาจทำให้คณะกรรมการเฟดยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะในไอร์แลนด์ หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลไอร์แลนด์อาจต้องขอรับความช่วยเหลือด้านการเงินจากสหภาพยุโรปเพื่อรับมือกับวิกฤตหนี้สาธารณะภายในประเทศ ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ไอร์แลนด์มียอดขาดดุลงบประมาณสูงถึง 14.4% ของตัวเลขจีดีพีในปี 2552 และยอดขาดดุลงบประมาณจะพุ่งเกือบแตะ 32% ของจีดีพีในปี 2553 เนื่องจากงบประมาณที่รัฐบาลไอร์แลนด์ต้องนำไปใช้ในการให้ความช่วยเหลือภาคธนาคารมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะ 5 หมื่นล้านยูโร หรือ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 พ.ย.ซึ่งทางสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐจะรายงานในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 800,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.6%