สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 พ.ย.) เนื่องจากการที่จีนประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ทำให้นักลงทุนกังวลว่า จีนอาจใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการพลังงานด้วย
สัญญาน้ำมัน NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ขยับลง 34 เซนต์ ปิดที่ 81.51 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยสัญญาเดือนธ.ค.ได้ครบกำหนดส่งมอบแล้วในวันศุกร์ที่ 19 พ.ย.
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเดือนม.ค.ร่วงลง 44 เซนต์ ปิดที่ 81.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 2.07 เซนต์ ปิดที่ 2.2744 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.23 เซนต์ ปิดที่ 2.1960 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 71 เซนต์ ปิดที่ระดับ 84.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์อีก 0.50% เมื่อวานนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและลดปริมาณเงินสดที่ภาคธนาคารจะนำไปปล่อยกู้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า จีนอาจจะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการพลังงานด้วย
แคปิตอล อิโคโนมิคส์ ออกรายงานที่บ่งชี้ว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบอาจเพิ่มความเปราะบางให้กับเศรษฐกิจสหรัฐ โดยรายงานระบุว่า ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 10 ดอลลาร์จะทำให้ภาคครัวเรือนของสหรัฐมีค่าใช้จ่ายในการซื้อเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์/ปี ในปริมาณเชื้อเพลิงที่เท่าเดิม และการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอาจทำให้ภาคครัวเรือนของสหรัฐลดการใช้จ่าย โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราว่างงานยังอยู่ในระดับที่สูงมาก
ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนก.ย.ของสหรัฐ ขยับขึ้นเพียง 0.2% น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% เนื่องจากรายได้ส่วนบุคคลเดือนก.ย.ปรับตัวลดลง 0.1% ซึ่งเป็นสถิติที่ลดลงครั้งแรกในรอบ 14 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ารายได้ส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย.